การพัฒนาสูตรเซรั่มที่มี L-Ascorbic Acid, Hyaluronate, Argireline, Vitamin E และ Ferulic Acid
คำถาม
รบกวนสอบถามการพัฒนาสูตรเซรั่มที่มีสารออกฤทธิ์ดังนี้ครับ:
- Sodium Hyaluronate 25%
- L-ascorbic acid 15%
- Argireline 3%
- Vitamin E 0.1%
- Ferulic Acid 0.1%
เกี่ยวกับ L-ascorbic acid (Ultra-Fine):
- สามารถทำละลายในน้ำได้หรือไม่ (ควรหรือไม่ควร)?
- ควรทำละลายด้วยวิธีใดที่ดีที่สุดที่จะยังคงรักษาประสิทธิภาพของสาร เมื่อทาแล้วไม่รู้สึกหนักผิวครับ?
- หากในสูตรมีการทำละลาย L-ascorbic acid ในน้ำ จะเกิดการ oxidation และทำให้เสียสภาพหรือไม่ครับ?
(**ควรปรับเพิ่มหรือลดสารตัวใดหรือไม่ครับ)
การทำละลายด้วยวิธี (Anhydrous) มีวิธีแนะนำให้เนื้อของเซรั่มไม่หนัก เมื่อทาลงบนผิวไม่ทำให้ผิวรู้สึกเหนอะหนะ หรือหนักหน้าเกินไป เพื่อให้เนื้อเซรั่มมีความบางเบาขึ้น ซึมง่ายขึ้นหรือไม่ครับ?
ระหว่างเบส Silicone (Kielh's) และเบส Glycols (SkinCeuticals) มีข้อดี ข้อเสียแตกต่างกันอย่างไรบ้างครับ?
คำตอบ
คำแนะนำการผสมสำหรับเซรั่มของคุณ
ครับ ผมได้ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับส่วนผสมที่คุณวางแผนจะใช้แล้ว ได้แก่ L-ascorbic acid (Ultra-Fine), Sodium Hyaluronate, Argireline, Vitamin E (Tocopheryl Acetate) และ Ferulic Acid
นี่คือข้อมูลเกี่ยวกับคำถามของคุณครับ:
การละลาย L-Ascorbic Acid (Ultra-Fine)
L-ascorbic acid (วิตามินซี) เป็นสารที่มีประสิทธิภาพสูง แต่ก็ไม่เสถียรมากเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในน้ำ เกรด Ultra-Fine (รหัสสินค้า: 133) ถูกออกแบบมาให้กระจายตัวได้ง่าย โดยเฉพาะในสูตรที่ไม่มีน้ำ (anhydrous)
- การละลายในน้ำ: แม้ว่าผง L-ascorbic acid สามารถ ละลายในน้ำได้ แต่ ไม่แนะนำ เพื่อความเสถียร สารจะเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันและเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็วเมื่อละลายในน้ำโดยตรง
- วิธีละลายที่ดีที่สุด: เพื่อรักษาความเสถียรและประสิทธิภาพของ L-ascorbic acid ควรผสมใน เบสแบบไม่มีน้ำ (anhydrous base) หรือใน สูตรที่มีน้ำแต่มีค่า pH ต่ำมาก (เหมาะอย่างยิ่งระหว่าง 2.0-3.5 แม้ว่าข้อกำหนด อย. มักจะกำหนด pH 3.5 ขึ้นไปสำหรับเครื่องสำอางที่ทาบนผิว) ระบบแบบไม่มีน้ำ (เช่น เบสซิลิโคนหรือไกลคอล) ให้ความเสถียรที่ดีกว่าสำหรับ L-ascorbic acid ในระบบที่มีน้ำ ค่า pH ที่ต่ำเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ควบคู่กับการเติมสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น Ferulic Acid และ Vitamin E ซึ่งช่วยปกป้อง L-ascorbic acid จากการเกิดออกซิเดชัน
การเกิดออกซิเดชันของ L-Ascorbic Acid ในน้ำ
ใช่ครับ การละลาย L-ascorbic acid ในน้ำโดยตรงจะทำให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันอย่างรวดเร็ว ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียประสิทธิภาพและการเปลี่ยนสีของสารละลาย (มักจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือส้ม) นี่คือเหตุผลที่เซรั่ม L-ascorbic acid ที่เสถียรมักถูกผลิตขึ้นในเบสแบบไม่มีน้ำ หรือในระบบน้ำ/ตัวทำละลายที่มี pH ต่ำและมีการควบคุมอย่างระมัดระวัง พร้อมกับสารต้านอนุมูลอิสระ
ความเข้มข้นของส่วนผสม
มาดูความเข้มข้นที่คุณเสนอมาครับ:
- L-ascorbic acid 15%: ความเข้มข้นนี้อยู่ในช่วงที่มีประสิทธิภาพ (โดยทั่วไปคือ 3-15%) สำหรับ L-ascorbic acid เพื่อให้ประโยชน์ในการต้านอนุมูลอิสระ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และช่วยให้ผิวกระจ่างใส ความเข้มข้นนี้เหมาะสมหากมีการผสมที่ถูกต้องเพื่อความเสถียร
- Sodium Hyaluronate 25%: ความเข้มข้นนี้สำหรับผง Sodium Hyaluronate (เช่น Sodium Acetylated Hyaluronate, รหัสสินค้า: 8240) นั้น สูงมาก และ ไม่น่าจะทำได้จริง ในเซรั่ม Sodium Hyaluronate เป็นสารก่อเจลที่มีประสิทธิภาพสูงซึ่งต้องใช้น้ำในการให้ความชุ่มชื้นและทำงาน ที่ความเข้มข้น 25% น่าจะทำให้เกิดเจลหรือเนื้อครีมที่ข้นเหนียวจนใช้ไม่ได้ แทนที่จะเป็นเซรั่ม และจะละลายได้ยากมาก อัตราการใช้ทั่วไปสำหรับผง Sodium Hyaluronate ในเซรั่มนั้นต่ำกว่ามาก โดยปกติจะอยู่ในช่วง 0.1% ถึง 2% คุณควรลดความเข้มข้นของ Sodium Hyaluronate ลงอย่างมาก
- Argireline 3%: ความเข้มข้นนี้อยู่ในช่วงอัตราการใช้ที่แนะนำ (3-10%) สำหรับ Acetyl Hexapeptide-8 (รหัสสินค้า: 45) Argireline มักจะมาในรูปแบบสารละลายในน้ำ
- Vitamin E (Tocopheryl Acetate) 0.1%: ความเข้มข้นนี้อยู่ในช่วงที่แนะนำ (0.1-1%) ที่ 0.1% จะทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเพื่อปกป้องสูตร หากคุณต้องการให้มีประโยชน์ในการต้านอนุมูลอิสระต่อผิวอย่างมีนัยสำคัญ อาจพิจารณาเพิ่มความเข้มข้นขึ้นเล็กน้อย (เช่น 0.5%) แต่โปรดทราบว่าปริมาณที่สูงขึ้น (>0.5%) อาจทำให้รู้สึกเหนียวเหนอะหนะได้ Vitamin E Tocopheryl Acetate (รหัสสินค้า: 65) ละลายในน้ำมัน
- Ferulic Acid 0.1%: อัตราการใช้ที่แนะนำสำหรับ Pure-Ferulic Acid (รหัสสินค้า: 131) สำหรับการต่อต้านริ้วรอย/ต้านอนุมูลอิสระในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวคือ 0.5-1% แม้ว่า 0.1% อาจให้การปกป้องสูตรได้บ้าง แต่ก็น่าจะต่ำเกินไปที่จะให้ประโยชน์สูงสุดต่อผิว โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับ 15% L-ascorbic acid การเพิ่มความเข้มข้นเป็น 0.5% หรือ 1% จะช่วยเพิ่มพลังในการต้านอนุมูลอิสระและความเสถียรของเซรั่ม คล้ายกับสูตรที่เป็นที่รู้จัก เช่น SkinCeuticals CE Ferulic (รหัสสินค้า: 70) Ferulic Acid ไม่ละลายในน้ำและต้องใช้ตัวทำละลาย เช่น Ethoxydiglycol หรือ ethanol
ความท้าทายด้านความเข้ากันได้ของส่วนผสม: รายการส่วนผสมที่คุณเสนอมาประกอบด้วยส่วนผสมที่ต้องใช้น้ำในการละลาย/ทำงาน (Sodium Hyaluronate, Argireline) และส่วนผสมที่ไม่เสถียรในน้ำหรือต้องใช้ตัวทำละลายเฉพาะ (L-ascorbic acid, Ferulic Acid, Vitamin E) การสร้างเซรั่มที่เสถียรและเป็นเนื้อเดียวกันซึ่งมีส่วนผสมทั้งหมดเหล่านี้ในความเข้มข้นที่มีประสิทธิภาพถือเป็นความท้าทายในการผสมอย่างมาก
การทำให้เนื้อสัมผัสเบาในสูตรที่ไม่มีน้ำ
หากคุณเลือกใช้เบสแบบไม่มีน้ำ (ซึ่งดีกว่าสำหรับความเสถียรของ L-ascorbic acid) การทำให้เนื้อสัมผัสเบาและไม่เหนอะหนะขึ้นอยู่กับการเลือกส่วนผสมในเบสเป็นอย่างมาก
- การใช้ ซิลิโคนชนิดเบาที่ระเหยง่าย (เช่น Cyclopentasiloxane หรือ Dimethicone ความหนืดต่ำ) สามารถให้ความรู้สึกเรียบเนียนเหมือนไหมและไม่เหนอะหนะบนผิว เนื่องจากซิลิโคนเหล่านี้จะระเหยไปอย่างรวดเร็วหลังทา
- การใช้ ไกลคอลหรือเอสเทอร์บางชนิด ที่ให้ความรู้สึกเบาบางก็ช่วยได้เช่นกัน Ethoxydiglycol ซึ่งมักใช้เป็นตัวทำละลายสำหรับ Ferulic Acid และ L-ascorbic acid ในสูตรที่ไม่มีน้ำหรือมีน้ำน้อย สามารถช่วยให้เนื้อสัมผัสเบาลงเมื่อเทียบกับไกลคอลที่หนักกว่า
- การทำให้แน่ใจว่า ผง L-ascorbic acid กระจายตัวได้ดี (เกรด Ultra-Fine ช่วยในเรื่องนี้) ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงเนื้อสัมผัสที่เป็นผงหรือสาก
ข้อดีข้อเสียของเบสซิลิโคน vs. เบสไกลคอล สำหรับสูตรที่ไม่มีน้ำ/มีน้ำน้อย
ทั้งระบบเบสซิลิโคนและเบสไกลคอลสามารถใช้สำหรับเซรั่ม L-ascorbic acid ได้ โดยมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป:
- เบสซิลิโคน (เช่น Kiehl's):
- ข้อดี: ดีเยี่ยมในการสร้างเนื้อสัมผัสที่เรียบเนียนเหมือนไหม ให้ความรู้สึกเบาและไม่เหนอะหนะบนผิว เนื่องจากการใช้ซิลิโคนระเหยง่าย ช่วยให้ผง L-ascorbic acid กระจายตัวได้ดี ให้ความเสถียรที่ดีสำหรับ L-ascorbic acid ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีน้ำ
- ข้อเสีย: ซิลิโคนไม่ได้ให้ความชุ่มชื้นโดยตรง (แม้ว่าจะช่วยลดการสูญเสียน้ำ) ผู้ใช้บางรายอาจต้องการหลีกเลี่ยงซิลิโคน การผสมส่วนผสมที่ละลายน้ำได้ เช่น Sodium Hyaluronate และ Argireline เข้ากับเบสซิลิโคนทำได้ยาก
- เบสไกลคอล (เช่น SkinCeuticals):
- ข้อดี: ไกลคอล (เช่น Propylene Glycol, Butylene Glycol, Ethoxydiglycol) สามารถทำหน้าที่เป็นตัวทำละลายสำหรับสารออกฤทธิ์และให้คุณสมบัติเป็นสารดูดความชื้น (humectant) ได้ การผสมผสานระหว่างไกลคอลและน้ำปริมาณเล็กน้อยที่มี pH ต่ำ เป็นระบบที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยให้ L-ascorbic acid เสถียร โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับ Ferulic Acid และ Vitamin E (รหัสสินค้า: 70 เป็นตัวอย่างของสูตรประเภทนี้) Ethoxydiglycol มีประโยชน์อย่างยิ่งในการละลาย Ferulic Acid
- ข้อเสีย: ไกลคอลบางครั้งอาจให้ความรู้สึกเหนียวเล็กน้อยหรืออุ่นบนผิว ขึ้นอยู่กับชนิดและความเข้มข้น ต้องควบคุมค่า pH อย่างระมัดระวังเพื่อความเสถียรของ L-ascorbic acid การผสมสารก่อเจลที่มีความเข้มข้นสูง เช่น Sodium Hyaluronate อาจยังคงทำให้เกิดปัญหาด้านเนื้อสัมผัสได้
สรุปแล้ว การละลาย L-ascorbic acid ในน้ำเปล่าไม่แนะนำเนื่องจากจะเกิดออกซิเดชัน จำเป็นต้องใช้ระบบที่ไม่มีน้ำหรือระบบน้ำ/ตัวทำละลายที่มี pH ต่ำเพื่อความเสถียร ความเข้มข้นที่คุณเสนอมาต้องมีการปรับเปลี่ยนอย่างมาก โดยเฉพาะ Sodium Hyaluronate การรวมส่วนผสมทั้งหมดที่คุณต้องการเข้าไว้ในเซรั่มเดียวที่เสถียรและมีเนื้อสัมผัสบางเบาเป็นเรื่องที่ท้าทาย เนื่องจากส่วนผสมแต่ละชนิดมีความต้องการในการละลายที่แตกต่างกัน คุณอาจต้องปรับสูตรให้เรียบง่ายขึ้น ใช้ส่วนผสมในรูปแบบอื่นที่เสถียรกว่า หรือใช้เทคนิคการผสมขั้นสูง.
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Acetyl Hexapeptide-8 (eq Argireline)

Vitamin E (Tocopheryl Acetate)

Vitamin C E Ferulic

Pure-Ferulic Acid™

Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine)
