การพัฒนาสูตรเซรั่มวิตามินซีที่เสถียรพร้อมเปปไทด์: แก้ปัญหา L-AA ไม่เสถียร, เนื้อขุ่นขาว และฟอง
คำถาม
กำลังพัฒนาสูตรเซรั่มที่มีส่วนผสมดังนี้:
- น้ำกลั่น
- Phospholipid (Hydrogenated Lecithin)
- Grape Seed Extract (Proanthocyanidins)
- Vitamin C (L-ascorbic acid)
- Glutathione (L-Glutathione Reduced)
- Triethanolamine
- Acetyl Hexapeptide-8 (Argireline)
- Matrixyl 3000 (Pal-GHK, Pal-GQPR)
- Pro Polymer™ (Gel Maker)
หลังจากเติม Phospholipid และปั่นผสมจนเข้ากัน เนื้อเซรั่มมีลักษณะสีขาวขุ่นและเกิดฟองขึ้นมา ทราบว่าเนื้อขุ่นขาวเป็นลักษณะปกติ แต่ต้องการทราบวิธีป้องกันการเกิดฟอง นอกจากนี้ ยังกังวลเรื่องความเสถียรของ Vitamin C (L-ascorbic acid) ในสูตรนี้ โดยเฉพาะเมื่อมีส่วนผสมของเปปไทด์ (Acetyl Hexapeptide-8, Matrixyl 3000) ซึ่งอาจต้องการช่วง pH ที่เหมาะสมแตกต่างกันเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อเทียบกับ L-ascorbic acid เคยคิดจะเติม Triethanolamine เพื่อปรับค่า pH แต่ไม่แน่ใจว่าจะส่งผลเสียต่อความเสถียรของวิตามินซีหรือไม่ ต้องการคำแนะนำในการสร้างเซรั่มที่เสถียรซึ่งรวมประโยชน์ของวิตามินซีและเปปไทด์เหล่านี้เข้าด้วยกัน พร้อมทั้งแก้ไขปัญหาเนื้อสัมผัส (เนื้อขุ่นและฟอง) และความเข้ากันได้ของส่วนผสม
คำตอบ
การวิเคราะห์สูตรเดิมและข้อเสนอแนะสำหรับสูตรใหม่
จากสูตรเซรั่มที่คุณให้มาและข้อเสนอแนะจากทีมงาน นี่คือการวิเคราะห์และแนวทางสำหรับสูตรใหม่ที่เหมาะสมกับผิวผสม:
การวิเคราะห์สูตรเดิมของคุณ
สูตรปัจจุบันของคุณประกอบด้วยส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพหลายชนิด ได้แก่ น้ำกลั่น, Phospholipid (Hydrogenated Lecithin), Grape Seed Extract (Proanthocyanidins), Vitamin C (L-ascorbic acid), Glutathione (L-Glutathione Reduced), Triethanolamine, Acetyl Hexapeptide-8 (Argireline), Matrixyl 3000 (Pal-GHK, Pal-GQPR) และ Pro Polymer™ (Gel Maker)
ทีมงานได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาหลักอย่างถูกต้อง นั่นคือ Vitamin C (L-ascorbic acid) ในความเข้มข้นสูง แม้ L-ascorbic acid จะเป็นวิตามินซีที่มีประสิทธิภาพสูง แต่ก็ไม่เสถียรโดยธรรมชาติ โดยเฉพาะในสูตรที่เป็นน้ำและมีค่า pH สูง
- ความเสถียรของ L-Ascorbic Acid: L-ascorbic acid จะเสถียรที่สุดในสภาวะที่เป็นกรดสูง (pH ต่ำ โดยทั่วไปต่ำกว่า 3.5) สูตรของคุณมีส่วนผสมอื่นๆ โดยเฉพาะเปปไทด์อย่าง Acetyl Hexapeptide-8 (Argireline) และ Matrixyl 3000 ซึ่งโดยทั่วไปจะเสถียรและมีประสิทธิภาพดีที่สุดที่ค่า pH สูงกว่า (ใกล้เคียงค่า pH ตามธรรมชาติของผิว ประมาณ 4.5-6.5) นี่ทำให้เกิดความขัดแย้ง: การปรับ pH ให้ต่ำเพื่อความเสถียรของ L-ascorbic acid จะลดประสิทธิภาพของเปปไทด์ และการเพิ่ม pH เพื่อให้เปปไทด์ทำงานได้ดี จะทำให้ L-ascorbic acid เสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว การเติม Triethanolamine เพื่อเพิ่ม pH ตามที่คุณพิจารณา จะทำให้ L-ascorbic acid ไม่เสถียรมากขึ้น ตามที่ทีมงานได้อธิบายไว้
- Glutathione และ Grape Seed Extract กับความเสถียร: ตามที่ทีมงานกล่าว ผลการวิจัยแสดงว่า Glutathione สามารถช่วยเพิ่มความเสถียรให้กับ L-ascorbic acid ได้ แต่โดยทั่วไปต้องใช้ในอัตราส่วนที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับ L-AA และมีการศึกษาในสูตรที่ซับซ้อนน้อยกว่าเป็นหลัก Grape Seed Extract เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดี แต่ไม่มีข้อมูลว่าช่วยเพิ่มความเสถียรของ L-ascorbic acid ได้อย่างมีนัยสำคัญ
- เนื้อสัมผัส (ขุ่นขาวและฟอง): ลักษณะขุ่นขาวที่คุณสังเกตเห็นเป็นเรื่องปกติเมื่อผสม Phospholipid (Hydrogenated Lecithin) ลงในสูตรน้ำ เนื่องจากมันจะกระจายตัวอยู่ในเนื้อสูตร ส่วนฟองน่าจะเกิดจากการตีผสมที่ทำให้อากาศเข้าไปในเนื้อเซรั่ม ตามที่ทีมงานแนะนำ การใช้ Satin Cream Maker (0.5%) สามารถช่วยลดการเกิดฟองและปรับปรุงเนื้อสัมผัสได้ การผสมอย่างทั่วถึงแต่ไม่รุนแรงเกินไปก็ช่วยลดฟองได้เช่นกัน
โดยสรุป แม้สูตรของคุณจะมีสารออกฤทธิ์ที่ดีเยี่ยม แต่การรวม L-ascorbic acid ในความเข้มข้นสูงกับเปปไทด์ ซึ่งมีช่วง pH ที่เหมาะสมแตกต่างกัน ทำให้สูตรไม่เสถียรโดยธรรมชาติและยากต่อการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
ข้อเสนอแนะสำหรับสูตรเซรั่มวิตามินซีที่เสถียรขึ้น
เพื่อแก้ไขปัญหาความเสถียรและยังคงได้รับประโยชน์จากวิตามินซีและเปปไทด์ ขอแนะนำให้ใช้ วิตามินซีอนุพันธ์ที่มีความเสถียร ซึ่งเข้ากันได้กับช่วง pH ที่เหมาะสมสำหรับเปปไทด์ Sodium Ascorbyl Phosphate (SAP) เป็นตัวเลือกที่ดี เนื่องจากละลายน้ำได้ มีความเสถียรสูง และทำงานได้ดีในสูตรที่มี pH ระหว่าง 7-9 ซึ่งสามารถปรับลดลงมาให้อยู่ในช่วงที่ใกล้เคียงกับ pH ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเปปไทด์ได้ (แม้เปปไทด์จะมีประสิทธิภาพสูงสุดที่ pH ต่ำกว่าเล็กน้อย แต่ pH ประมาณ 6-6.5 ก็เป็นค่าที่ยอมรับได้สำหรับทั้ง SAP และเปปไทด์)
นี่คือแนวคิดสำหรับสูตรเซรั่มที่มีความเสถียรมากขึ้น:
สูตรเซรั่มวิตามินซีที่เสถียร (ตัวอย่าง)
สูตรนี้ใช้ Sodium Ascorbyl Phosphate (SAP) เพื่อให้ได้วิตามินซีที่เสถียร และยังคงส่วนผสมเปปไทด์และส่วนผสมที่เป็นประโยชน์อื่นๆ จากสูตรเดิมของคุณ
- น้ำกลั่น (Distilled Water): Q.S. ถึง 100%
- Sodium Ascorbyl Phosphate (SAP): 5-10%
- หน้าที่: วิตามินซีอนุพันธ์ที่เสถียร, สารต้านอนุมูลอิสระ, ช่วยให้ผิวกระจ่างใส
- หมายเหตุ: จะเปลี่ยนเป็น L-ascorbic acid เมื่อซึมเข้าสู่ผิว เสถียรที่ pH 7-9 แต่สามารถปรับสูตรให้ pH ต่ำลงเล็กน้อย (pH 6-6.5) เพื่อให้เข้ากันได้กับเปปไทด์ มีประสิทธิภาพที่ความเข้มข้น 5-10%
- Phospholipid (Hydrogenated Lecithin): 3%
- หน้าที่: สารช่วยนำพาเข้าสู่ผิว, สารประสานเนื้อ
- หมายเหตุ: อาจทำให้เนื้อขุ่นขาว ควรผสมให้เข้ากันดี
- Grape Seed Extract (Proanthocyanidins): 1-2%
- หน้าที่: สารต้านอนุมูลอิสระ
- หมายเหตุ: ใช้ที่ 1-2% เพื่อลดผลกระทบต่อสีของสูตร
- Glutathione (L-Glutathione Reduced): 1-2%
- หน้าที่: สารต้านอนุมูลอิสระ, ช่วยให้ผิวกระจ่างใส
- หมายเหตุ: ทำงานเสริมฤทธิ์กับวิตามินซี
- Acetyl Hexapeptide-8 (Argireline): 5-10%
- หน้าที่: เปปไทด์ลดเลือนริ้วรอย
- หมายเหตุ: เสถียรที่ pH 4-7
- Matrixyl 3000 (Pal-GHK, Pal-GQPR): 3-5%
- หน้าที่: เปปไทด์ลดเลือนริ้วรอย, กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
- หมายเหตุ: เสถียรที่ pH 4-7
- Pro Polymer™ (Gel Maker): 0.5-1%
- หน้าที่: สารสร้างเนื้อเจล/เพิ่มความหนืด
- หมายเหตุ: ปรับความเข้มข้นตามความหนืดที่ต้องการ
- สารกันเสีย (Preservative): ตามความเหมาะสม (ตามคำแนะนำของผู้จำหน่าย)
- หน้าที่: ป้องกันการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์
- หมายเหตุ: เลือกชนิดที่ทำงานได้ดีในช่วง pH เป้าหมาย (ประมาณ 6.0-6.5)
- สารปรับค่า pH (เช่น Lactic Acid หรือ Citric Acid solution): ตามความเหมาะสม
- หน้าที่: ปรับค่า pH สุดท้าย
- หมายเหตุ: ตั้งเป้า pH สุดท้ายที่ 6.0-6.5 เพื่อความสมดุลระหว่างความเสถียรของ SAP และเปปไทด์
- Satin Cream Maker: 0.5% (ไม่บังคับ)
- หน้าที่: ปรับปรุงเนื้อสัมผัส, ช่วยลดฟอง
- หมายเหตุ: เติมหากมีปัญหาเรื่องฟองระหว่างการผสม
ข้อดีหลักของแนวคิดสูตรนี้:
- ความเสถียรที่ดีขึ้น: การใช้ Sodium Ascorbyl Phosphate (SAP) ช่วยเพิ่มความเสถียรของวิตามินซีในสูตรได้อย่างมาก เมื่อเทียบกับ L-ascorbic acid
- ความเข้ากันได้ของส่วนผสม: ช่วง pH เป้าหมาย (6.0-6.5) เป็นค่าที่สมดุล ซึ่งช่วยให้ทั้ง SAP และเปปไทด์ (Acetyl Hexapeptide-8, Matrixyl 3000) ยังคงมีความเสถียรและประสิทธิภาพที่ดี
- คงไว้ซึ่งประโยชน์: ยังคงมีส่วนผสมออกฤทธิ์หลักที่คุณต้องการ (วิตามินซี, กลูตาไธโอน, สารสกัดจากเมล็ดองุ่น, Argireline, Matrixyl 3000)
- เนื้อสัมผัสที่เหมาะสม: Pro Polymer ช่วยสร้างเนื้อเจล/เซรั่มที่บางเบา เหมาะสำหรับผิวผสมและใช้ทาทับด้วยครีม Satin Cream Maker สามารถช่วยปรับปรุงเนื้อสัมผัสและลดฟองได้
ขั้นตอนการผสมที่แนะนำสำหรับสูตรใหม่:
- ในบีกเกอร์หลัก ผสม น้ำกลั่น ส่วนใหญ่เข้ากับ Pro Polymer™ คนเบาๆ แต่ทั่วถึงจนได้เนื้อเจลที่เนียนเข้ากันดี หลีกเลี่ยงการตีที่ทำให้อากาศเข้ามากเกินไป
- ในภาชนะเล็กๆ แยกต่างหาก ละลาย Sodium Ascorbyl Phosphate (SAP) ใน น้ำกลั่น ส่วนที่เหลือเล็กน้อย นำสารละลายนี้ไปเติมในส่วนผสมเจลหลักและผสมให้เข้ากันดี
- เติม Glutathione, Grape Seed Extract, Acetyl Hexapeptide-8, และ Matrixyl 3000 ลงในส่วนผสมหลัก คนจนส่วนผสมทั้งหมดละลายและกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ
- เติม Phospholipid (Hydrogenated Lecithin) และ Satin Cream Maker (หากใช้) ผสมให้เข้ากันอย่างทั่วถึงจนเนื้อเซรั่มเป็นเนื้อเดียวกันและมีลักษณะขุ่นขาวสม่ำเสมอ คนต่อไปจนเนื้อสัมผัสเนียน หากใช้ Satin Cream Maker ให้เติมในขั้นตอนนี้และผสมให้เข้ากัน
- วัดค่า pH ของส่วนผสม ค่อยๆ เติม สารปรับค่า pH (เช่น สารละลาย Lactic Acid) ทีละน้อยพร้อมกับคนไปด้วย จนกว่าค่า pH จะอยู่ในช่วง 6.0-6.5 ผสมให้เข้ากันหลังการเติมแต่ละครั้งและวัดค่า pH ซ้ำ
- เติม สารกันเสีย ตามอัตราส่วนและวิธีการผสมที่ผู้จำหน่ายแนะนำ ผสมให้เข้ากันดี
- หากจำเป็น ให้เติม น้ำกลั่น ส่วนที่เหลือจนครบ 100% ของน้ำหนักรวม และผสมอีกครั้งเป็นขั้นตอนสุดท้าย
- ถ่ายเซรั่มลงในขวดทึบแสงที่สะอาด (เพื่อป้องกันแสง) และเก็บในที่เย็น เช่น ตู้เย็น เพื่อช่วยรักษาความสดและความเสถียรของสารออกฤทธิ์
โปรดรักษาความสะอาดและใช้อุปกรณ์ที่สะอาดในการทำเครื่องสำอางเสมอ และแนะนำให้ทดสอบผลิตภัณฑ์บนผิวบริเวณเล็กๆ ก่อนใช้กับใบหน้าทั้งหมด
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Acetyl Hexapeptide-8 (eq Argireline)

Pal-GHK, Pal-GQPR (eq Matrixyl 3000)

Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine)

Vitamin C (L-ascorbic acid) (Fine)

Triethanolamine 99%

Pro Polymer™ (Gel Maker)

Satin Cream Maker™

Grape Seed Extract (Proanthocyanidins)

Hydrogenated Lecithin (95% Phosphatidylcholine)
