การพัฒนาสูตรเซรั่มวิตามินซี: การละลาย ความคงตัว และสารขึ้นเนื้อเจล

ถามโดย: air_write เมื่อ: May 28, 2013 ประเภทผลิตภัณฑ์: เครื่องสำอาง

คำถาม

ต้องการทำเซรั่มวิตามินซี (L-Ascorbic Acid) และมีคำถามเกี่ยวกับการพัฒนาสูตร การละลาย และความคงตัวค่ะ

  • เว็บไซต์บางแห่งแนะนำให้ใช้อุณหภูมิ 50-70°C เพื่อช่วยละลายวิตามินซี จำเป็นหรือแนะนำให้ทำเช่นนั้นหรือไม่คะ?
  • สูตรเหล่านี้สามารถทำได้จริงหรือไม่ และมีคุณสมบัติ/ปัญหาอย่างไรบ้าง?
    • Ethoxydiglycol 80g, Vitamin C 20g
    • การแขวนลอย Vitamin C Ultra-Fine ใน Silicone Gel: Silicone Gel 80g + Vitamin C 20g
    • Ethoxydiglycol 50g, Water 30g, Vitamin C 20g
  • สามารถใช้ Ethoxydiglycol แทน Butylene Glycol ในสูตรวิตามินซีได้โดยตรงหรือไม่คะ?
  • จำเป็นต้องใส่สารต้านอนุมูลอิสระในสูตรวิตามินซีที่ไม่มีน้ำหรือไม่คะ?
  • จะปรับปรุงเนื้อสัมผัสที่สาก/เป็นเม็ด เมื่อแขวนลอย Vitamin C Ultra-Fine ในซิลิโคนเจลได้อย่างไรคะ?
  • น้ำและค่า pH มีผลต่อความคงตัวของวิตามินซีอย่างไรคะ?
  • วิตามินซีเกรด 'Fine' และ 'Ultra-Fine' มีความแตกต่างกันในการละลายหรือไม่คะ?
  • มีคำถามเกี่ยวกับการทำเจลด้วย Veegum ด้วยค่ะ พบว่าละลายยาก แค่เขย่าไม่พอ มีวิธีการที่ถูกต้องในการขึ้นเนื้อเจลด้วย Veegum หรือไม่คะ และมีสารทางเลือกอื่นที่ทำเจล DIY ได้ง่ายกว่าไหมคะ?

คำตอบ

เรื่อง Veegum และการขึ้นเนื้อเจล

Veegum เป็นสารเพิ่มความหนืดประเภทเคลย์ (ดินเหนียว) ซึ่งแตกต่างจากโพลิเมอร์สังเคราะห์หรือกัมบางชนิดที่สามารถไฮเดรต (ดูดซับน้ำ) ได้ง่ายเพียงแค่ผสมกับน้ำ Veegum มักต้องการสภาวะเฉพาะเพื่อให้กระจายตัวและพองตัวได้อย่างเหมาะสมเพื่อสร้างเนื้อเจลหรือมีความหนืดที่ชัดเจน การเขย่าในน้ำเปล่าเพียงอย่างเดียวมักไม่เพียงพอที่จะทำให้ผงเคลย์ไฮเดรตได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้ได้ของเหลวขุ่นๆ ที่มีความหนืดน้อยหรือไม่หนืดเลยค่ะ

การสร้างเจลที่คงตัวด้วย Veegum โดยทั่วไปต้องอาศัย:

  • การกระจายตัวที่เหมาะสม: มักต้องค่อยๆ เติมลงในน้ำขณะที่คนหรือปั่นด้วยความเร็วสูงเพื่อป้องกันการจับตัวเป็นก้อน
  • การไฮเดรตเต็มที่: อาจต้องใช้เวลาในการไฮเดรตอย่างสมบูรณ์ บางครั้งอาจต้องทิ้งไว้ข้ามคืน
  • การใช้ร่วมกับสารเพิ่มความหนืดอื่น: บ่อยครั้งที่ใช้โพลิเมอร์ที่ละลายน้ำได้จำนวนเล็กน้อย (เช่น Xanthan Gum หรือ Carbomer) ร่วมกับ Veegum โพลิเมอร์จะช่วยให้ผงเคลย์แขวนลอยอยู่ได้ดีขึ้น และช่วยเพิ่มความหนืดและความคงตัวโดยรวมของเจล

ตามที่เจ้าหน้าที่ได้แนะนำ Veegum อาจเป็นสารที่ค่อนข้างใช้งานยากสำหรับการทำสูตร DIY ด้วยตัวเองค่ะ สารทางเลือกที่ใช้งานง่ายกว่าสำหรับการสร้างเนื้อเจล ได้แก่ Xanthan Gum หรือ Pro Polymer ซึ่งสามารถไฮเดรตในน้ำได้ง่ายกว่าค่ะ

เรื่องการทำสูตรเซรั่มวิตามินซี

มาตอบคำถามของคุณเกี่ยวกับสูตรเซรั่มวิตามินซี (L-Ascorbic Acid) นะคะ

  • สูตร: Ethoxydiglycol 80 กรัม, Vitamin C 20 กรัม: สูตรนี้ไม่น่าจะได้ผลตามที่ต้องการค่ะ แม้ว่า Ethoxydiglycol จะเป็นตัวทำละลาย แต่ L-Ascorbic Acid มีข้อจำกัดในการละลายในสารนี้ ความเข้มข้น 20% ของวิตามินซีมีแนวโน้มที่จะละลายไม่หมดและจะตกตะกอนได้ ตามที่เจ้าหน้าที่ได้แจ้งไว้ค่ะ สารต้านอนุมูลอิสระมีความสำคัญน้อยกว่าในสูตรที่ไม่มีน้ำ (anhydrous) เมื่อเทียบกับสูตรที่มีน้ำ แต่วิตามินซียังคงเสื่อมสภาพได้จากอากาศและแสง ดังนั้นการใส่สารต้านอนุมูลอิสระก็ยังสามารถช่วยเพิ่มความคงตัวได้ค่ะ

  • Ethoxydiglycol แทน Butylene Glycol ได้หรือไม่: Ethoxydiglycol และ Butylene Glycol เป็นตัวทำละลายทั้งคู่ แต่มีคุณสมบัติและขีดจำกัดในการละลาย L-Ascorbic Acid ที่แตกต่างกัน L-Ascorbic Acid ละลายในน้ำได้ดีกว่ามาก (ประมาณ 33%) เมื่อเทียบกับไกลคอลอย่าง Propylene Glycol (ประมาณ 5%) ความสามารถในการละลาย L-Ascorbic Acid ใน Ethoxydiglycol ก็น่าจะใกล้เคียงหรือน้อยกว่า Propylene Glycol ค่ะ ดังนั้น จึงไม่สามารถใช้ Ethoxydiglycol แทน Butylene Glycol ได้โดยตรง โดยเฉพาะในสูตรที่ต้องการความเข้มข้นของวิตามินซีสูงๆ ค่ะ

  • Vitamin C Ultra-Fine ใน Silicone Gel: ใช่ค่ะ เป็นไปได้ที่จะแขวนลอยผง Vitamin C (L-Ascorbic Acid) ชนิด Ultra-Fine ในเบสซิลิโคนเจล (เช่น ซิลิโคนเจล 80 กรัม + วิตามินซี 20 กรัม) วิธีนี้จะสร้างสูตรแบบแขวนลอยที่ไม่มีน้ำ ซึ่งช่วยเพิ่มความคงตัวของ L-Ascorbic Acid ได้ดีกว่าสูตรที่มีน้ำ อย่างไรก็ตาม ตามที่เจ้าหน้าที่ได้กล่าวไว้ การใช้เพียงซิลิโคนเจลและผงวิตามินซีอาจทำให้รู้สึกสากๆ หรือเป็นเม็ดๆ เวลาทา แนะนำให้ใส่สารช่วยหล่อลื่น (lubricant) ที่เหมาะสมลงในสูตรด้วยเพื่อปรับปรุงเนื้อสัมผัสค่ะ

  • สูตร: Ethoxydiglycol 50 กรัม, น้ำ 30 กรัม, Vitamin C 20 กรัม: สูตรนี้สามารถทำได้ในทางเทคนิค เนื่องจาก L-Ascorbic Acid สามารถละลายได้ทั้งในน้ำและ Ethoxydiglycol อย่างไรก็ตาม การมีน้ำอยู่ (30%) จะทำให้ L-Ascorbic Acid เกิดการออกซิเดชันค่อนข้างเร็ว ทำให้เซรั่มเสื่อมประสิทธิภาพลงเมื่อเวลาผ่านไป เพื่อเพิ่มความคงตัวในสูตรที่มีน้ำ จะต้องปรับค่า pH ให้อยู่ในช่วงต่ำ (ประมาณ 2.0-4.0) ซึ่งอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวได้ค่ะ

  • ความคงตัวของ Vitamin C ต่อความร้อน: L-Ascorbic Acid ไวต่อความร้อนและแสง ซึ่งจะเร่งการเกิดออกซิเดชัน แม้ว่าวิตามินซีเกรด 'Fine' อาจได้รับประโยชน์จากการใช้ความร้อนต่ำๆ ในระยะเวลาสั้นๆ (50-70°C เป็นเวลา 1-3 นาที) เพื่อช่วยในการละลาย แต่วิตามินซีเกรด 'Ultra-Fine' สามารถละลายในน้ำที่อุณหภูมิห้องได้ง่ายอยู่แล้ว โดยทั่วไป แนะนำให้เติม L-Ascorbic Acid ในขั้นตอนสุดท้ายของการผสม โดยต้องแน่ใจว่าอุณหภูมิของสูตรต่ำกว่า 30°C เพื่อลดการสัมผัสความร้อนและรักษาประสิทธิภาพของวิตามินซีค่ะ

สำหรับการทำเจล DIY ที่ง่ายกว่า ลองพิจารณาใช้ Xanthan Gum หรือ Pro Polymer ค่ะ สำหรับเซรั่มวิตามินซี สูตรที่ไม่มีน้ำ (เช่น การแขวนลอย Vitamin C Ultra-Fine ในซิลิโคนเจลร่วมกับสารช่วยหล่อลื่น) จะให้ความคงตัวที่ดีกว่าสูตรที่มีน้ำ แม้ว่าสูตรที่มีน้ำก็สามารถทำได้หากมีการควบคุมค่า pH และยอมรับอายุการเก็บรักษาที่สั้นลงค่ะ

ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine)
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine)
เครื่องสำอาง
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Fine)
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Fine)
เครื่องสำอาง
Ethoxydiglycol (e.q. Transcutol)
Ethoxydiglycol (e.q. Transcutol)
เครื่องสำอาง
Pro Polymer™ (Gel Maker)
Pro Polymer™ (Gel Maker)
เครื่องสำอาง