แนวทางการทำเซรั่มวิตามินซีที่คล้ายคลึงกับของ Kiehl's

ในการสร้างเซรั่มวิตามินซีที่คล้ายคลึงกับของ Kiehl's ซึ่งมักจะใช้ L-ascorbic acid ซึ่งเป็นวิตามินซีรูปแบบที่มีประสิทธิภาพสูงสุด สิ่งสำคัญคือต้องคำนึงถึงความเสถียรของ L-ascorbic acid เนื่องจาก L-ascorbic acid มีฤทธิ์แรงแต่สามารถ oxidize ได้ง่ายเมื่อละลายในน้ำ

แนวทางหนึ่งคือการใช้ L-ascorbic acid ในเบสที่ไม่มีน้ำ (anhydrous) เช่น เซรั่มซิลิโคน Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine) เป็นเกรดที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการทำสูตรประเภทนี้ เนื่องจากขนาดอนุภาคที่เล็กมากช่วยให้กระจายตัวได้ง่ายในเบสที่ไม่มีน้ำ

อีกวิธีหนึ่งในการเพิ่มความเสถียรคือการผสม L-ascorbic acid กับสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ เช่น Vitamin E และ Ferulic Acid ผลิตภัณฑ์ Vitamin C E Ferulic ใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อช่วยให้ Ascorbic Acid มีความเสถียรมากขึ้น

เมื่อทำสูตรด้วย L-ascorbic acid ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์สุดท้ายมีค่า pH ต่ำ (โดยทั่วไปอยู่ระหว่าง 2.0-4.0) เพื่อการดูดซึมและประสิทธิภาพสูงสุด โดยคำนึงถึงข้อกำหนดของ อย. ที่กำหนดให้เครื่องสำอางที่ใช้กับผิวต้องมีค่า pH อย่างน้อย 3.5 นอกจากนี้ ควรพิจารณาเพิ่มสาร Chelating Agent เช่น Disodium EDTA หากใช้สูตรที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ เพื่อช่วยป้องกันวิตามินซีจากไอออนของโลหะ

การจัดเก็บเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเซรั่ม L-ascorbic acid ควรเก็บผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปในที่เย็น มืด และควรเก็บในตู้เย็น ในภาชนะที่ปิดสนิทเพื่อลดการ oxidize

ข้อควรพิจารณาที่สำคัญ:

• รูปแบบวิตามินซี: L-ascorbic acid มีประสิทธิภาพสูง
• ความเสถียร: ใช้เบสที่ไม่มีน้ำ หรือผสมกับ Vitamin E และ Ferulic Acid
• ค่า pH: รักษาค่า pH ให้ต่ำเพื่อประสิทธิภาพ (สูงกว่า 3.5 ตามข้อกำหนด อย.)
• การจัดเก็บ: เก็บในที่เย็นและมืด

สำหรับส่วนผสมเฉพาะ ควรพิจารณาใช้ Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine) หรือ Vitamin C (L-ascorbic acid) (Fine) ขึ้นอยู่กับเบสของสูตรที่คุณใช้ และอาจใช้ Vitamin C E Ferulic สำหรับส่วนผสมที่ช่วยเพิ่มความเสถียร

• โปรดทราบว่าการสร้างสูตรที่เทียบเท่ากับผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์อย่าง Kiehl's ต้องอาศัยความรู้โดยละเอียดเกี่ยวกับสูตรเฉพาะของพวกเขา ซึ่งไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ ข้อมูลนี้เป็นแนวทางทั่วไปตามหลักปฏิบัติทั่วไปสำหรับการทำเซรั่ม L-ascorbic acid ที่มีความเสถียร*