การพัฒนาสูตรโลชั่นเพื่อผลัดเซลล์ผิวและผิวขาวกระจ่างใส: ทบทวนส่วนผสมและแก้ไขปัญหา
คำถาม
ต้องการทำโลชั่นสูตรนี้เพื่อเน้นการผลัดเซลล์ผิว เพื่อผิวขาวกระจ่างใสค่ะ โดยมีส่วนผสมและวิธีการผสมดังนี้:
ส่วนผสม:
- น้ำมันมะพร้าว: 30 %
- น้ำกลั่น: 25 %
- Vitamin C (L-ascorbic acid) (Standard): 20 %
- Polysorbate 20 (Tween 20): 10 %
- Vitamin E (Tocopheryl Acetate): 5 %
- Glycerin: 5 %
- Synthetic White Beeswax: 5 %
วิธีผสม:
- ส่วน A: นำ น้ำกลั่น + Glycerin + Vitamin C (L-ascorbic acid) (Standard) ผสมให้เข้ากัน พักไว้
- ส่วน B: นำ น้ำมันมะพร้าว + Vitamin E (Tocopheryl Acetate) + Polysorbate 20 (Tween 20) ผสมให้เข้ากัน พักไว้
- ส่วน C: นำ Synthetic White Beeswax ไป Double-boiler จนละลาย จากนั้น นำส่วน A ผสมลงไป คนให้เข้ากัน และตามด้วยส่วน B คนให้เข้ากัน จึงยกลงจากเตา และวัดค่า pH ให้ได้ที่ 3-4
รบกวนปรึกษาดังนี้ค่ะ:
- จากสูตรมีเปอร์เซ็นต์ของสารตัวไหนต้องปรับลด-เพิ่มไหมคะ?
- มีสารตัวไหนควรเพิ่มลงไป เพื่อช่วยเรื่องความขาวกระจ่างใสอีกไหมคะ?
- โลชั่นที่ได้ เนื้อยังไม่ค่อยเนียน เหมือนไม่ค่อยเข้ากันดี ไม่แน่ใจว่า ขั้นตอนการผสมตรงไหนผิดพลาดหรือเปล่าคะ
- สูตรนี้ กรณีไม่ใส่สารกันเสีย น่าจะมีอายุถึง 1 ปีไหมคะ หากไม่ถึง ควรใส่สารกันเสียตัวไหนที่ไม่ผลต่อส่วนผสมคะ
- หากต้องการเพิ่มกลิ่น สามารถเติมกลิ่นที่เป็น Essential Oil รวมกันน้ำมันได้เลยไหมคะ
คำตอบ
การทบทวนสูตรโลชั่นเพื่อการผลัดเซลล์ผิวและผิวขาวกระจ่างใส
ขอบคุณที่แบ่งปันสูตรโลชั่นและคำถามของคุณค่ะ การสร้างโลชั่นที่เน้นการผลัดเซลล์ผิวและผิวขาวกระจ่างใสเป็นเป้าหมายที่ดี เรามาทบทวนสูตรและวิธีการผสมของคุณเพื่อช่วยให้คุณได้ผลิตภัณฑ์ที่เสถียรและมีประสิทธิภาพนะคะ
นี่คือคำตอบสำหรับคำถามของคุณค่ะ:
1) การปรับเปลี่ยนเปอร์เซ็นต์ส่วนผสม
ใช่ค่ะ มีหลายเปอร์เซ็นต์และองค์ประกอบโดยรวมที่ต้องปรับเปลี่ยนเพื่อให้ได้ความเสถียรและประสิทธิภาพที่ดีขึ้น:
- เปอร์เซ็นต์รวม: เปอร์เซ็นต์ที่คุณระบุรวมกันได้ 90% หากส่วนที่ขาดไป 10% คือน้ำ ส่วนของน้ำค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับส่วนของน้ำมัน/แวกซ์ โดยทั่วไปโลชั่นมักมีส่วนของน้ำมากกว่าเพื่อให้ได้เนื้อที่เบาขึ้นและมีความเสถียรที่ดีกับอิมัลซิไฟเออร์ทั่วไป
- Vitamin C (L-ascorbic acid) (20%): วิตามินซีในความเข้มข้น 20% ถือว่าสูงมาก แม้จะมีประสิทธิภาพสูงในการทำให้ผิวขาวและผลัดเซลล์ผิว แต่ก็อาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิวได้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ค่า pH ต่ำ (3-4) ซึ่งจำเป็นต่อความเสถียรและประสิทธิภาพของวิตามินซี สำหรับโลชั่นทาตัว ความเข้มข้นที่ต่ำลง (เช่น 5-15%) อาจเหมาะสมกว่า เพื่อรักษาสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและการลดความเสี่ยงของการระคายเคือง
- Polysorbate 20 (Tween 20) (10%): Polysorbate 20 ส่วนใหญ่ใช้เป็นสารช่วยละลาย (solubilizer) หรืออิมัลซิไฟเออร์ร่วม (co-emulsifier) การใช้เพียงตัวเดียวเป็นอิมัลซิไฟเออร์สำหรับสูตรที่มีส่วนของน้ำมัน 30% บวกกับแวกซ์และวิตามินอี อาจไม่เพียงพอที่จะสร้างอิมัลชันที่เสถียร นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้เนื้อโลชั่นของคุณไม่เนียนและไม่เข้ากันดี คุณจำเป็นต้องใช้ระบบอิมัลซิไฟเออร์ที่มีประสิทธิภาพมากกว่านี้
- น้ำมันมะพร้าว (Fractionated Coconut Oil) (30%): ส่วนนี้ทำให้น้ำมันในสูตรค่อนข้างสูง แม้จะเป็นสารให้ความนุ่มที่ดี แต่ส่วนของน้ำมันที่สูงต้องการระบบอิมัลซิไฟเออร์ที่แข็งแรง ส่วนของน้ำมัน/แวกซ์ทั้งหมด (น้ำมันมะพร้าว 30% + วิตามินอี 5% + Synthetic White Beeswax 5%) คือ 40% ซึ่งเป็นเรื่องท้าทายในการทำอิมัลชันโดยใช้เพียง Polysorbate 20
- Vitamin E (Tocopheryl Acetate) (5%): 5% เป็นความเข้มข้นที่ค่อนข้างสูงสำหรับวิตามินอีอะซิเตท โดยทั่วไปใช้ที่ 0.5-2% แม้จะมีประโยชน์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระและปรับสภาพผิว แต่ความเข้มข้นนี้เพิ่มส่วนของน้ำมันและอาจทำให้รู้สึกเหนอะหนะได้
2) สารอื่นที่ช่วยเรื่องผิวขาวกระจ่างใส
สูตรของคุณใช้วิตามินซีในความเข้มข้นสูงอยู่แล้ว ซึ่งเป็นสารที่มีประสิทธิภาพสูงในการทำให้ผิวขาวและผลัดเซลล์ผิว การเพิ่มสารแอคทีฟที่ช่วยให้ผิวขาวตัวอื่นที่มีความเข้มข้นสูงเข้าไปอีก อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการระคายเคืองผิว อย่างไรก็ตาม หากคุณปรับความเข้มข้นของวิตามินซีลง หรือต้องการสำรวจตัวเลือกอื่น (อาจใช้ร่วมกับวิตามินซีในความเข้มข้นที่ต่ำลง) ให้พิจารณาส่วนผสมที่ทำงานผ่านกลไกอื่น หรือเป็นที่ทราบกันว่ามีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น:
- Alpha Arbutin: ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส โดยทั่วไปมีความทนทานต่อผิวได้ดี
- Tranexamic Acid: ช่วยลดการผลิตเม็ดสีผิวและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
โปรดจำไว้ว่าการรวมสารแอคทีฟที่ออกฤทธิ์แรงหลายชนิดเข้าด้วยกันจะเพิ่มโอกาสในการเกิดอาการระคายเคืองผิว การมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มความเสถียรและประสิทธิภาพของวิตามินซี และอาจเพิ่มส่วนผสมที่ช่วยปลอบประโลมผิวหรือเสริมเกราะป้องกันผิว อาจเป็นประโยชน์มากกว่าการเพิ่มสารให้ความขาวตัวอื่นเข้าไปอีก
3) ขั้นตอนการผสมและปัญหาเนื้อโลชั่น
ขั้นตอนการผสมที่คุณอธิบายไว้เป็นสาเหตุหลักของปัญหาเนื้อโลชั่นที่ไม่เนียนและไม่เข้ากัน วิธีการนี้ไม่ใช่มาตรฐานในการสร้างอิมัลชัน (โลชั่น) ที่เสถียร
การสร้างโลชั่นที่เสถียร (ซึ่งโดยปกติเป็นอิมัลชันของส่วนน้ำมันและส่วนน้ำ) ต้องใช้ระบบอิมัลซิไฟเออร์ที่เหมาะสมและเทคนิคการผสมที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับการให้ความร้อนทั้งสองส่วน (น้ำมันและน้ำ) แล้วนำมารวมกันพร้อมกับคนอย่างต่อเนื่องจนเกิดอิมัลชันและเย็นตัวลง
วิธีการของคุณที่ละลายแวกซ์แล้วค่อยๆ เติมส่วน A (น้ำ) และส่วน B (น้ำมัน) ตามลำดับ ไม่ใช่วิธีการทำอิมัลชันมาตรฐาน และมีแนวโน้มที่จะทำให้ส่วนผสมแยกชั้นหรือไม่เสถียร มีเนื้อสัมผัสที่ไม่ดี แวกซ์เป็นสารเพิ่มความหนืดและช่วยให้ความเสถียร แต่ไม่ใช่เป็นอิมัลซิไฟเออร์หลักด้วยตัวมันเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสูตรที่มีน้ำมันมากขนาดนี้ Polysorbate 20 ก็ไม่เพียงพอที่จะเป็นอิมัลซิไฟเออร์เพียงตัวเดียว
ในการสร้างโลชั่นที่เสถียร คุณควร:
- เลือกใช้ระบบอิมัลซิไฟเออร์ที่เหมาะสม (มักจะเป็นการผสมผสานของอิมัลซิไฟเออร์หลายชนิด)
- รวมส่วนผสมที่ละลายในน้ำมัน (น้ำมัน, แวกซ์, อิมัลซิไฟเออร์ที่ละลายในน้ำมัน, วิตามินอี) ในเฟสน้ำมัน และให้ความร้อน
- รวมส่วนผสมที่ละลายในน้ำ (น้ำ, กลีเซอรีน, อิมัลซิไฟเออร์/สารเพิ่มความหนืดที่ละลายในน้ำ) ในเฟสน้ำ และให้ความร้อน
- เมื่อทั้งสองเฟสมีอุณหภูมิใกล้เคียงกัน (เช่น 70-75°C) ค่อยๆ เติมเฟสภายในลงในเฟสภายนอก (เช่น น้ำลงในน้ำมันสำหรับ W/O หรือน้ำมันลงในน้ำสำหรับ O/W ขึ้นอยู่กับชนิดของอิมัลซิไฟเออร์) พร้อมกับคนอย่างต่อเนื่องด้วยเครื่องผสมที่เหมาะสม (เช่น เครื่องปั่นมือถือ หรือ homogenizer) เพื่อสร้างอิมัลชัน
- คนต่อไปเรื่อยๆ ขณะที่ส่วนผสมเย็นตัวลง
- เติมส่วนผสมที่ไวต่อความร้อน (เช่น วิตามินซี, สารกันเสีย, น้ำหอม) ในช่วงที่เย็นตัวลง (ต่ำกว่า 40°C)
- ปรับค่า pH ในขั้นตอนสุดท้ายเมื่อโลชั่นเย็นตัวลงแล้ว
คุณจำเป็นต้องปรับปรุงระบบอิมัลซิไฟเออร์และขั้นตอนการผสมของคุณอย่างมาก
4) อายุการใช้งานโดยไม่ใส่สารกันเสีย
ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางใดๆ ที่มีส่วนประกอบของน้ำ จำเป็นต้อง มีระบบสารกันเสียเพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ (แบคทีเรีย, เชื้อรา, ยีสต์) หากไม่มีสารกันเสีย โลชั่นนี้มีแนวโน้มที่จะปนเปื้อนและเสียภายในไม่กี่วันหรือสัปดาห์ ไม่ใช่อายุ 1 ปี การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปนเปื้อนอาจทำให้เกิดการติดเชื้อหรือระคายเคืองผิวได้
สารกันเสียมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความปลอดภัยและอายุการเก็บรักษา ความท้าทายในที่นี้คือการหาระบบสารกันเสียที่มีประสิทธิภาพที่ค่า pH ต่ำ (3-4) ซึ่งจำเป็นต่อความเสถียรและประสิทธิภาพของ L-ascorbic acid สารกันเสียทั่วไปหลายชนิดไม่มีประสิทธิภาพที่ค่า pH ต่ำขนาดนี้
คุณจะต้องค้นคว้าและเลือกระบบสารกันเสียที่ทราบว่ามีประสิทธิภาพในสูตรเครื่องสำอางที่มีค่า pH ต่ำ ตัวอย่างของสารกันเสียที่อาจใช้ได้ที่ค่า pH ต่ำ ได้แก่:
- กรดอินทรีย์บางชนิดและเกลือของมัน (เช่น Sorbic Acid, Potassium Sorbate, Benzoic Acid, Sodium Benzoate, Dehydroacetic Acid) ซึ่งมักใช้ร่วมกัน ประสิทธิภาพของสารเหล่านี้ขึ้นอยู่กับค่า pH อย่างมาก
- สารกันเสียแบบ broad-spectrum บางชนิดอาจทำงานได้ในช่วง pH ที่กว้างขึ้น แต่คุณต้องตรวจสอบข้อมูลจำเพาะจากผู้ผลิต Phenoxyethanol ซึ่งมักใช้ร่วมกับ Ethylhexylglycerin เป็นสารกันเสีย broad-spectrum ทั่วไป และประสิทธิภาพของมันขึ้นอยู่กับค่า pH น้อยกว่ากรดอินทรีย์ แต่คุณควรตรวจสอบความเหมาะสมที่ pH 3-4 อีกครั้ง
คุณต้องเติมสารกันเสียในอัตราส่วนที่แนะนำระหว่างขั้นตอนการเย็นตัวของวิธีการผสมที่ปรับปรุงใหม่ของคุณ
5) การเพิ่ม Essential Oil
ใช่ค่ะ คุณสามารถเติม essential oils ลงในเฟสน้ำมัน หรือในช่วงที่อิมัลชันกำลังเย็นตัวลง (ควรเติมเมื่ออุณหภูมิต่ำกว่า 40°C เพื่อรักษาสารระเหยในน้ำหอม) การเติมลงในเฟสน้ำมันก่อนการทำอิมัลชันก็เป็นวิธีที่นิยม
อย่างไรก็ตาม โปรดระมัดระวังในการใช้ essential oils เนื่องจากอาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหรืออาการแพ้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสูตรที่มีวิตามินซีความเข้มข้นสูงและค่า pH ต่ำ ซึ่งอาจทำให้เกิดการระคายเคืองอยู่แล้ว การใช้ essential oils ในสูตรดังกล่าวจะเพิ่มโอกาสในการเกิดปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์ต่อผิว
หากคุณเลือกที่จะเพิ่ม essential oils ให้ใช้ในความเข้มข้นที่ต่ำมาก (โดยทั่วไป 0.1-0.5% ในโลชั่นทาตัว) และควรทดสอบกับผิวบริเวณเล็กๆ ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ในบริเวณกว้าง
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Vitamin E (Tocopheryl Acetate)

Alpha Arbutin (Switzerland)

Glycerin (USP/Food Grade)

Fractionated Coconut Oil

Polysorbate 20 (Tween 20)

Vitamin C (L-ascorbic acid) (Standard)

Milk Lotion Maker™

Tranexamic Acid (Trans-White™)

Holy Basil Oil

Global Guard™ 221 (pH 2-7, Natural)
