การรวมวิตามินอี (ละลายน้ำมัน) และวิตามินซี (ละลายน้ำ) ในสูตรตำรับ

ถามโดย: naasuaysai เมื่อ: September 07, 2014 ประเภทผลิตภัณฑ์: เครื่องสำอาง

คำถาม

วิตามินอี (ละลายในน้ำมัน) และวิตามินซี (ละลายในน้ำ) สามารถนำมาผสมรวมกันในสูตรเครื่องสำอางได้อย่างไร? สามารถนำมาผสมกันโดยตรงได้หรือไม่ หรือจำเป็นต้องใช้เบสสูตรตำรับเฉพาะ (เช่น ครีม โลชั่น หรือเซรั่ม)? วิตามินอีและวิตามินซีชนิดใดที่เหมาะสม และจำเป็นต้องใช้สารกันเสียหรือไม่?

คำตอบ

การผสมวิตามินอีและวิตามินซีในสูตรตำรับ

สำหรับคำถามเกี่ยวกับการผสมวิตามินอีและวิตามินซีเข้าด้วยกันโดยตรง คำตอบก่อนหน้านี้ถูกต้องแล้วครับ วิตามินอีโดยทั่วไปละลายในน้ำมัน ในขณะที่วิตามินซีรูปแบบที่มีประสิทธิภาพหลายชนิดละลายในน้ำ จึงไม่สามารถนำมาผสมเข้าด้วยกันเพียวๆ ให้มีความคงตัวได้หากไม่มีเบสของสูตรตำรับที่เหมาะสม

เพื่อให้วิตามินอีและวิตามินซีรวมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณจำเป็นต้องสร้างสูตรตำรับที่เป็นอิมัลชัน เช่น ครีม โลชั่น หรือเซรั่ม ซึ่งมีทั้งส่วนที่เป็นน้ำมัน (oil phase) และส่วนที่เป็นน้ำ (water phase) สิ่งนี้จะช่วยให้วิตามินอีที่ละลายในน้ำมันกระจายตัวอยู่ในส่วนน้ำมัน และวิตามินซีที่ละลายในน้ำละลายอยู่ในส่วนน้ำ โดยมีอิมัลชันเป็นตัวเชื่อมให้เข้ากันได้

ชนิดของวิตามินอีและวิตามินซีที่เหมาะสม

สำหรับวิตามินอี โดยทั่วไปจะใช้ชนิดที่ละลายในน้ำมัน เช่น Vitamin E (Tocopheryl Acetate) หรือ Vitamin E (dl-alpha tocopherol) ซึ่งให้ประโยชน์ด้านสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยให้ส่วนผสมที่เป็นน้ำมันในสูตรคงตัวขึ้น

สำหรับวิตามินซี มีหลายทางเลือก ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพที่ต้องการและความง่ายในการขึ้นสูตร:

  • Vitamin C (L-ascorbic acid): เป็นรูปแบบที่มีประสิทธิภาพสูงสุด แต่ไม่คงตัวอย่างยิ่งในน้ำ และต้องการค่า pH ต่ำ (โดยทั่วไป 2.0-4.0) เพื่อความคงตัว ซึ่งอาจระคายเคืองผิวได้ วิตามินซีชนิดนี้ละลายในน้ำ
  • อนุพันธ์วิตามินซีที่มีความคงตัว: ขึ้นสูตรง่ายกว่าและมีความคงตัวสูงกว่า ตัวอย่างเช่น:
    • Ethyl Ascorbic Acid: ละลายในน้ำ มีความคงตัวสูง ใช้ได้ในช่วง pH 3.5-6.0
    • Magnesium Ascorbyl Phosphate (MAP) หรือ Sodium Ascorbyl Phosphate (SAP): ละลายในน้ำ มีความคงตัวสูง ใช้ได้ในช่วง pH ที่เป็นด่าง (โดยทั่วไป 7-9)

การผสมและสัดส่วน

สัดส่วนที่แน่นอนขึ้นอยู่กับความเข้มข้นที่ต้องการและชนิดของวิตามินซีที่ใช้ ตัวอย่างเช่น ช่วงความเข้มข้นที่เหมาะสมสำหรับวิตามินอีคือ 0.1-1% สำหรับ L-ascorbic acid มักใช้ความเข้มข้น 10-15% เพื่อให้เห็นผลชัดเจน ในขณะที่อนุพันธ์ที่มีความคงตัวอาจใช้ที่ 1-10%

การขึ้นสูตรโดยทั่วไปจะประกอบด้วยการเตรียมส่วนน้ำมัน (มีวิตามินอีและส่วนผสมที่ละลายในน้ำมันอื่นๆ) และส่วนน้ำ (มีวิตามินซีและส่วนผสมที่ละลายในน้ำอื่นๆ) จากนั้นนำมาผสมเข้าด้วยกันโดยใช้สารประสานเนื้อ (emulsifier)

สารกันเสีย

ใช่ครับ สูตรเครื่องสำอางใดๆ ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ จำเป็นต้อง ใส่สารกันเสียเพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย เชื้อรา และยีสต์ มีสารกันเสียหลายชนิดให้เลือกใช้ เช่น Mild Preserved Eco™

สรุปคือ คุณไม่สามารถนำวิตามินอีและวิตามินซีมาผสมกันเพียวๆ ได้โดยตรง ต้องนำไปขึ้นสูตรในเบสที่เป็นอิมัลชัน เช่น ครีมหรือเซรั่ม โดยใช้ชนิดของวิตามินที่เหมาะสม และต้องใส่สารกันเสียหากสูตรมีน้ำเป็นส่วนประกอบ

ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Vitamin E (Tocopheryl Acetate)
Vitamin E (Tocopheryl Acetate)
เครื่องสำอาง
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine)
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine)
เครื่องสำอาง
Vitamin E (dl-alpha tocopherol)
Vitamin E (dl-alpha tocopherol)
เครื่องสำอาง
Mild Preserved Eco™ (Preservative-Free)
Mild Preserved Eco™ (Preservative-Free)
เครื่องสำอาง
Magnesium Ascorbyl Phosphate
Magnesium Ascorbyl Phosphate
เครื่องสำอาง
Sodium Ascorbyl Phosphate (Vitamin C SAP, e.q. Stay C50)
Sodium Ascorbyl Phosphate (Vitamin C SAP, e.q. Stay C50)
เครื่องสำอาง