การออกซิเดชันและความเสถียรของเซรั่ม L-Ascorbic Acid

ถามโดย: rooss1612 เมื่อ: October 15, 2019 ประเภทผลิตภัณฑ์: เครื่องสำอาง

คำถาม

เกี่ยวกับการ Oxidation ของ L-ascorbic acid 15%:

โดยที่สารเปลี่ยนสี จากสีใสเป็นสีเหลืองอ่อน และค่อยๆเข้มขึ้น กรณีนี้เรายังสามารถใช้ตัวเซรั่มต่อไปได้หรือไม่ครับ

ควรหยุดใช้เมื่อตัวเซรั่มเปลี่ยนสีทันที หรือควรจะหยุดใช้กรณีที่เซรั่มเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลเข้มครับ

การลดปริมาณของ L-ascorbic acid ลง จาก 15% เป็น 5% หรือ 10% จะช่วยลดการ Oxidation ของสูตรได้หรือไม่ครับ

(ในสูตรมีน้ำเป็นตัวทำละลาย L-ascorbic acid 15%, Vitamin E 0.1%, Ferulic Acid 0.1)

หรือการใสสารสกัดที่ให้สีเหลืองอ่อน แบบนี้จะสามารถลดการมองเห็นเซรั่มที่มีการเปลี่ยนสีได้หรือไม่ครับ

[ภาพประกอบการเปลี่ยนสีของเนื้อเซรั่มครับ]

คำตอบ

การออกซิเดชันของเซรั่ม L-ascorbic acid

การที่เซรั่ม L-ascorbic acid ของคุณเปลี่ยนสีจากใสเป็นสีเหลืองอ่อนและค่อยๆ เข้มขึ้น เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นกับการออกซิเดชันของ L-ascorbic acid โดยเฉพาะในสูตรที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ

  • ยังใช้ได้อยู่ไหมเมื่อเปลี่ยนสี? เมื่อเซรั่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อน แสดงว่า L-ascorbic acid ได้เริ่มเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันแล้ว และความเข้มข้นของ L-ascorbic acid ที่ยังคงออกฤทธิ์ได้ลดลง แม้ว่าจะยังมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่ประสิทธิภาพจะลดลงเมื่อเทียบกับเซรั่มที่ยังใสอยู่ เมื่อสีเข้มขึ้นไปทางสีน้ำตาล ปริมาณ L-ascorbic acid ที่ออกฤทธิ์ได้จะลดลงอย่างมาก
  • ควรหยุดใช้เมื่อใด? โดยทั่วไป แนะนำให้หยุดใช้เซรั่ม L-ascorbic acid เมื่อเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองที่สังเกตเห็นได้ชัด หากเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเข้มหรือสีน้ำตาล แสดงว่าสูญเสียประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระไปเกือบทั้งหมด และอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ การใช้เซรั่มที่ออกซิเดชันมากแล้วอาจไม่ให้ผลลัพธ์ที่ดีต่อผิวตามที่คาดหวัง

การลดปริมาณ L-ascorbic acid ลงจาก 15% เป็น 5% หรือ 10% สามารถช่วยชะลออัตราการเกิดออกซิเดชันได้ เนื่องจากมีส่วนผสมที่ไม่เสถียรในสูตรน้อยลง อย่างไรก็ตาม การลดความเข้มข้นจะไม่สามารถหยุดการออกซิเดชันได้อย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะในสูตรที่มีน้ำเป็นตัวทำละลาย เนื่องจาก L-ascorbic acid ไม่เสถียรในน้ำโดยธรรมชาติ

การเติมสารสกัดที่มีสีเหลืองอ่อนลงในสูตรจะช่วย อำพราง การเปลี่ยนสีที่เกิดจากการออกซิเดชัน ซึ่งจะทำให้คุณไม่สามารถทราบได้ว่าเซรั่มสูญเสียประสิทธิภาพไปเมื่อใด และอาจทำให้คุณใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีประสิทธิภาพต่อไป การสังเกตการเปลี่ยนสีเป็นตัวบ่งชี้ที่ดีของความเสถียรและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์

สูตรของคุณประกอบด้วย L-ascorbic acid, Vitamin E (Tocopheryl Acetate) และ Ferulic Acid ทั้ง Vitamin E และ Ferulic Acid เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทำงานร่วมกับ L-ascorbic acid เพื่อช่วยให้มีความเสถียรมากขึ้น และเพิ่มการปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระและรังสี UV อย่างไรก็ตาม แม้จะมีสารเหล่านี้ช่วยเสริมความเสถียร แต่ L-ascorbic acid ในสูตรที่มีน้ำก็ยังคงมีแนวโน้มที่จะเกิดออกซิเดชันเมื่อเวลาผ่านไป

เพื่อเพิ่มความเสถียรของเซรั่ม L-ascorbic acid ของคุณ ควรพิจารณา:

  • เก็บเซรั่มในภาชนะทึบแสง ปิดสนิท หลีกเลี่ยงแสงและความร้อน โดยเฉพาะการเก็บในตู้เย็น (อุณหภูมิ 6-8°C)
  • การปรับค่า pH ให้อยู่ในช่วงที่ต่ำลง (ระหว่าง 2.0-3.5) สามารถช่วยเพิ่มความเสถียรของ L-ascorbic acid ได้ แต่ควรระวังการระคายเคืองผิวที่อาจเกิดขึ้นในค่า pH ที่ต่ำมาก
  • ลดการสัมผัสกับอากาศระหว่างการใช้งาน (เช่น ใช้ขวดแบบ Airless pump)
  • พิจารณาใช้ Vitamin C ในรูปแบบอื่นที่มีความเสถียรมากกว่าสำหรับสูตรในอนาคต หากความเสถียรเป็นข้อกังวลหลัก

ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Vitamin E (Tocopheryl Acetate)
Vitamin E (Tocopheryl Acetate)
เครื่องสำอาง
Pure-Ferulic Acid™
Pure-Ferulic Acid™
เครื่องสำอาง
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine)
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine)
เครื่องสำอาง