การออกแบบสูตรที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Estee Lauder Advanced Night Repair

จากรายการส่วนผสมของ Estee Lauder Advanced Night Repair Synchronized Recovery Complex นี่คือแนวทางการออกแบบสูตรที่เป็นไปได้โดยใช้ส่วนผสมที่มีจำหน่ายจาก MySkinRecipes สูตรนี้มีเป้าหมายเพื่อจำลองส่วนประกอบสำคัญที่มีฤทธิ์และส่วนประกอบเชิงหน้าที่สำหรับการซ่อมแซมและให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว

ส่วนประกอบสำคัญและส่วนประกอบทดแทนจาก MySkinRecipes

• Bifida Ferment Lysate: ใช้ Bifida Repair Complex™ (Bifida Ferment Lysate, High Conc) (อัตราการใช้ที่แนะนำ 1-7%) ส่วนผสมที่มีความเข้มข้นสูงนี้มีคุณสมบัติช่วยเสริมเกราะป้องกันผิวและต้านอนุมูลอิสระ
• Butylene Glycol: ใช้ Butylene Glycol (อัตราการใช้ที่แนะนำ 1-20%) ทำหน้าที่เป็นตัวทำละลายและสารให้ความชุ่มชื้น
• Tripeptide-32: ใช้ Pep®-T32 (Tripeptide-32 1000ppm) (อัตราการใช้ที่แนะนำ 1-5%) เป็นเปปไทด์ที่ทราบกันดีว่าช่วยในการซ่อมแซมเซลล์และมีคุณสมบัติต่อต้านริ้วรอย
• Lactobacillus Ferment: ใช้ MYFerment™ Exfo (Lactobacillus Ferment Lysate) (อัตราการใช้ที่แนะนำ 1-100%) ช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยนและสนับสนุนเกราะป้องกันผิว
• Retinyl Palmitate: ใช้ Vitamin A Palmitate (retinyl palmitate, 1MIU/g) (อัตราการใช้ที่แนะนำ 0.1-1.0%) เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินเอสำหรับการผลัดเซลล์ผิวและต่อต้านริ้วรอย
• Pantethine: ตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ ให้ใช้ Panthenol (Vitamin B5, DL-Panthenol, Powder) หรือ D-Panthenol Care (Pro-Vitamin B5, 100% Liquid) (อัตราการใช้ที่แนะนำ 0.5-10% สำหรับผิว) วิตามินบี 5 เป็นสารให้ความชุ่มชื้นและช่วยในการสมานแผลและลดการอักเสบของผิว
• Caffeine: ใช้ Encapsulated Caffeine (50% Caffeine Active) (อัตราการใช้ที่แนะนำไม่เกิน 3% สำหรับผิวหน้า) ทราบกันดีว่ามีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ
• Sodium RNA: พิจารณาใช้ Salmon DNA (PDRN, Polydeoxyribonucleotide, 90% Micronized Flake) (อัตราการใช้ที่แนะนำ 0.3-0.8%) เป็นทางเลือกสำหรับคุณสมบัติในการซ่อมแซมผิว โปรดทราบว่า PDRN ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษในการละลาย
• Squalane: ใช้ Squalane (Olive) (อัตราการใช้ที่แนะนำ 1-100%) เป็นสารให้ความนุ่มลื่นและต้านอนุมูลอิสระ
• Bisabolol: ใช้ Bisabolol (Alpha Bisabolol, Bisabolol RAC) (อัตราการใช้ที่แนะนำ 0.5-1%) ทราบกันดีว่ามีคุณสมบัติปลอบประโลมและลดการระคายเคือง
• Hydrogenated Lecithin: ใช้ Hydrogenated Lecithin (95% Phosphatidylcholine) สามารถใช้ในการห่อหุ้มส่วนผสม (encapsulation) หรือเป็นอิมัลซิไฟเออร์/สารปรับสภาพผิว
• Anthemis Nobilis (Chamomile Water): ใช้ Chamomile Water (Anthemis Nobilis) (อัตราการใช้ที่แนะนำ 1-100%) มีคุณสมบัติปลอบประโลมผิว
• Sodium Hyaluronate: ใช้ Hyaluronic Acid (Small Molecule) (อัตราการใช้ที่แนะนำ 0.1-0.5%) เป็นสารให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว
• Tocopheryl Acetate (Vitamin E): ใช้ Vitamin E (Tocopheryl Acetate) (อัตราการใช้ที่แนะนำ 0.1-1%) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ

สารเพิ่มความหนืด (Thickening Agents)

เพื่อให้ได้เนื้อสัมผัสแบบเซรั่มหรือเจล คุณสามารถใช้:

• Xanthan Gum: ใช้ Xanthan Gum (clear gel type, smooth texture) (อัตราการใช้ที่แนะนำ 0.1-2%) ผสมในส่วนของน้ำ (water phase)
• Carbomer: ใช้ Carbomer 940 (EasyDisperse™) (อัตราการใช้ที่แนะนำ 0.5-3%) ต้องทำการสะเทิน (neutralize) ด้วยด่าง เช่น Triethanolamine

สารคีเลต (Chelating Agent)

เพื่อเพิ่มความคงตัว คุณสามารถเพิ่มสารคีเลต:

• ใช้ Disodium EDTA (สำหรับ pH 3.0-9.0) หรือ Tetrasodium EDTA (สำหรับ pH 8-12) (อัตราการใช้ที่แนะนำ 0.1-0.2%) หรือใช้ Trisodium Ethylenediamine Disuccinate (EDDS) เป็นทางเลือกที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ

สารกันเสีย (Preservatives)

เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ให้เติมสารกันเสีย:

• ใช้ Phenoxyethanol (Extra Pure) (อัตราการใช้ที่แนะนำ 0.5-1.0%)
• หรือใช้ Dichlorobenzyl Alcohol (อัตราการใช้ที่แนะนำ 0.1-1.0%)

ข้อควรทราบในการทำสูตร

• ผสมส่วนผสมที่ละลายน้ำได้ในส่วนของน้ำ ส่วนผสมบางอย่าง เช่น Bifida Ferment Lysate และ Lactobacillus Ferment Lysate ควรเติมในขั้นตอนสุดท้ายและหลีกเลี่ยงความร้อนสูงกว่า 40°C
• ผสมส่วนผสมที่ละลายในน้ำมัน เช่น Squalane, Vitamin A Palmitate, Vitamin E และ Bisabolol ในส่วนของน้ำมัน Hydrogenated Lecithin สามารถกระจายตัวในส่วนของน้ำมันได้
• หากใช้ Carbomer ให้กระจายตัวในส่วนของน้ำและทำการสะเทินหลังจากเติมส่วนผสมที่ละลายน้ำได้อื่นๆ แต่ก่อนเติมส่วนผสมที่ไวต่อความร้อนหรือส่วนของน้ำมัน
• เติมส่วนของน้ำมันลงในส่วนของน้ำ (หรือกลับกัน ขึ้นอยู่กับระบบอิมัลชันของคุณ หากทำโลชั่น/ครีม) Hydrogenated Lecithin สามารถช่วยในการทำอิมัลชันได้
• เติมสารเพิ่มความหนืด เช่น Xanthan Gum หรือ Carbomer ที่สะเทินแล้ว เพื่อให้ได้เนื้อสัมผัสที่ต้องการ
• เติมสารกันเสียในขั้นตอนสุดท้าย โดยตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิสูงสุดที่สารนั้นทนได้
• ควรทำการทดสอบความคงตัวและการทดสอบประสิทธิภาพของสารกันเสีย (challenge test) กับสูตรสำเร็จรูปของคุณเสมอ

นี่คือแนวทางในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่เป็นประโยชน์คล้ายคลึงกับ Estee Lauder Advanced Night Repair โดยใช้ส่วนผสมที่มีจำหน่ายจาก MySkinRecipes