ความเสถียรของวิตามินซี (L-Ascorbic Acid) เมื่อผสมกับ Ferulic Acid และ Vitamin E
คำถาม
สอบถามเกี่ยวกับสูตรทั่วไป การใช้ Ferulic Acid และ Vitamin E ในการช่วยลดการเกิด oxidation ของ Vitamin C (L-Ascorbic Acid) จะทำได้ดี หรือทำได้น้อยคะ โดยพิจารณาจากสูตรที่มี L-ascorbic acid 15%, Ferulic Acid 1%, Vitamin E 1% ค่ะ กรุณาพิจารณาทำตามสูตร Vitamin C E Ferulic kit ด้วยค่ะ
คำตอบ
สูตร Vitamin C (L-Ascorbic Acid) เพื่อความเสถียร
ถูกต้องแล้วค่ะที่วิตามินซีชนิด L-ascorbic acid ไม่เสถียรและเกิดการ oxidation ได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อผสมกับน้ำโดยตรง ซึ่งจะทำให้สูญเสียประสิทธิภาพไปอย่างรวดเร็ว
การเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระอย่าง Ferulic Acid และ Vitamin E สามารถช่วยลดการ oxidation ได้ อย่างไรก็ตาม ตามที่เจ้าหน้าที่ได้แจ้งไว้ การนำ L-ascorbic acid มาผสมกับ Ferulic Acid และ Vitamin E ในสัดส่วนที่คุณเสนอ (L-ascorbic acid 15%, Ferulic Acid 1%, Vitamin E 1%) อาจจะยังให้ความเสถียรแก่วิตามินซีชนิด L-ascorbic acid ในสูตรได้ไม่ดีเท่าที่ควร โดยเฉพาะในสูตรที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก
L-ascorbic acid ต้องการสภาวะที่เฉพาะเจาะจงเพื่อให้คงตัวได้ดี เช่น ค่า pH ที่ต่ำ (โดยทั่วไปแนะนำต่ำกว่า 3.5) และมักจะต้องมีสาร Chelating Agent เช่น Disodium EDTA เพื่อช่วยจับกับไอออนของโลหะที่อาจทำให้วิตามินซีเสื่อมสภาพได้ นอกจากนี้ Ferulic Acid เองก็ไม่ละลายน้ำ ต้องใช้ตัวทำละลายอย่าง Ethoxydiglycol หรือ Ethanol ส่วน Vitamin E (Tocopheryl Acetate) เป็นชนิดที่ละลายในน้ำมัน
ชุด Vitamin C E Ferulic kit ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะโดยใช้เทคโนโลยี CE Ferulic เพื่อแก้ปัญหาด้านความเสถียรเหล่านี้ และสร้างสภาวะที่เหมาะสมสำหรับ L-ascorbic acid ชุดคิทนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้วิตามินซีชนิด L-ascorbic acid มีความเสถียรและคงประสิทธิภาพได้ยาวนานกว่าการผสมส่วนผสมเดี่ยวๆ เข้าด้วยกันแบบง่ายๆ
ดังนั้น แม้ว่าส่วนผสมที่คุณเสนอจะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ แต่การใช้ชุด Vitamin C E Ferulic kit จะให้ความเสถียรและประสิทธิภาพของ L-ascorbic acid ในสูตรของคุณได้ดีกว่าค่ะ
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Vitamin E (Tocopheryl Acetate)

Vitamin C E Ferulic

Pure-Ferulic Acid™
