ความเสถียรของสูตร: ส่วนน้ำมันสูง, Dimethicone, Glycols และ Satin Cream Maker

Subject: เกี่ยวกับ phospholipid อีกครั้งครับ!!!

ขอบคุณสำหรับคำถามเกี่ยวกับขั้นตอนการผสมสูตรนะคะ จากข้อมูลที่ให้มาและคำตอบจากทีมงาน:

1. เกี่ยวกับขั้นตอนการผสม Dimethicone 1cSt และผลกระทบจากเวลาปั่น:
   ตามขั้นตอนที่ทีมงานแนะนำ ซึ่งยืนยันในคำตอบสำหรับคำถามข้อที่สองของคุณ คือให้เติม Dimethicone 1cSt หลังจากปั่นผสม Phospholipid แล้ว ซึ่งแสดงว่าเวลาที่ใช้ในการปั่น Phospholipid ไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการระเหยอย่างรวดเร็วของ Dimethicone 1cSt ในลำดับนี้ หรือเป็นวิธีการที่เหมาะสมที่สุดแล้วค่ะ

2. เกี่ยวกับการนำ Dimethicone 1cSt มาผสมในขั้นตอนสุดท้ายหลังจากปั่น Phospholipid:
   ใช่ค่ะ ทีมงานยืนยันว่าขั้นตอนที่คุณเสนอมาถูกต้องแล้ว ลำดับที่แนะนำคือ สร้างเนื้อครีมเบสก่อน จากนั้นปั่นผสม Phospholipid ตามด้วยการเติม Dimethicone 1cSt (สามารถคนด้วยมือได้ แต่แนะนำให้ใช้เครื่องปั่นเพื่อให้ส่วนผสมเข้ากันได้ดีขึ้น) และสุดท้ายจึงเติมสารกันเสียค่ะ ทีมงานแนะนำให้ใช้เครื่องปั่นโดยไม่ใช้ความร้อน เพื่อช่วยให้เนื้อเข้ากันได้ดีและลดโอกาสการแยกชั้นค่ะ

3. เกี่ยวกับการใช้ glycol รวม 10% จะทำให้สูตรอ่อนตัวลงหรือไม่ และจะทำให้แยกชั้นหรือไม่ รวมถึงความเพียงพอของ Satin Cream Maker 1.5%:
   ทีมงานแจ้งว่าสูตรของคุณมีโอกาสแยกชั้นสูงค่ะ เนื่องจากสัดส่วนของส่วนน้ำมันทั้งหมด (ซึ่งนับรวม Silicone, -glycol และ -diol ด้วย) มีปริมาณสูงเกินไป คือเกินกว่า 25% ของสูตรทั้งหมดค่ะ แม้ว่า glycol จะช่วยให้สูตรมีความเหลวขึ้น แต่ปริมาณส่วนน้ำมันที่สูงโดยรวมเป็นสาเหตุหลักของความไม่เสถียรและความเสี่ยงในการแยกชั้น แม้ว่าคุณจะต้องการเนื้อสูตรที่ค่อนข้างเหลวก็ตามค่ะ คำตอบของทีมงานบ่งชี้ว่า Satin Cream Maker 1.5% อาจไม่เพียงพอที่จะช่วยให้สูตรที่มีส่วนน้ำมันสูงขนาดนี้มีความเสถียรได้ เพื่อปรับปรุงความเสถียรและป้องกันการแยกชั้น คุณควรลดปริมาณส่วนน้ำมันทั้งหมด (รวมถึง glycols/diols และ silicones) ให้ต่ำกว่า 25% ค่ะ