คำถามการผสม: อิมัลซิไฟเออร์, สารช่วยคงตัว, และสูตรกันแดด
คำถาม
ผู้ใช้สอบถามเกี่ยวกับการใช้ร่วมกันและสัดส่วนของอิมัลซิไฟเออร์แบบ Water-in-Oil กับสารสร้างเนื้อครีมแบบ Oil-in-Water (Satin Cream Maker, Milk Lotion Maker) ในสูตรกันแดดหรือครีมทั่วไปที่มีอิเล็กโทรไลต์ รวมถึงความจำเป็นในการเติม Magnesium Sulfate เพื่อเพิ่มความคงตัวในสูตร W/O หากใช้อิมัลซิไฟเออร์อื่นร่วมด้วย และปริมาณ DHHB ที่เหมาะสมในการเพิ่มลงในสูตรกันแดด SPF Protect Ultra II เพื่อเพิ่มการป้องกัน UVA
คำตอบ
คำแนะนำการผสมสำหรับ Water-in-Oil, สารสร้างเนื้อครีม, แมกนีเซียมซัลเฟต และสูตรกันแดด
นี่คือคำแนะนำเกี่ยวกับคำถามการผสมของคุณ:
1. การใช้ Water-in-Oil Emulsifier ร่วมกับ Satin Cream Maker และ Milk Lotion Maker
- Water-in-Oil EZ™ ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างอิมัลชันแบบ Water-in-Oil (W/O) ซึ่งเป็นระบบที่หยดน้ำกระจายตัวอยู่ในเฟสน้ำมัน อิมัลชันประเภทนี้มักจะกันน้ำได้ดีกว่าและให้ความรู้สึกที่แตกต่างบนผิว
- Satin Cream Maker™ และ Milk Lotion Maker™ ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างอิมัลชันแบบ Oil-in-Water (O/W) ซึ่งเป็นระบบที่หยดน้ำมันกระจายตัวอยู่ในเฟสน้ำ มักเป็นครีมและโลชั่นส่วนใหญ่ ให้ความรู้สึกบางเบาและไม่เหนอะหนะ
อิมัลซิไฟเออร์ทั้งสองประเภทนี้สร้างระบบอิมัลชันที่แตกต่างกันโดยพื้นฐาน และโดยทั่วไป ไม่นิยมใช้ร่วมกัน เป็นอิมัลซิไฟเออร์หลักในสูตรเดียวกัน การเลือกขึ้นอยู่กับประเภทของผลิตภัณฑ์ที่คุณต้องการ (W/O หรือ O/W)
- หากคุณกำลังทำสูตรแบบ Water-in-Oil โดยใช้อิมัลซิไฟเออร์อย่าง Water-in-Oil EZ™ คุณจะไม่ใช้ Satin Cream Maker™ หรือ Milk Lotion Maker™ ในสูตรเดียวกันเพื่อสร้างโครงสร้าง W/O
- หากคุณกำลังทำครีมหรือโลชั่นแบบ Oil-in-Water ทั่วไป คุณจะใช้อิมัลซิไฟเออร์ O/W เช่น Satin Cream Maker™ หรือ Milk Lotion Maker™ Satin Cream Maker™ เหมาะสำหรับสูตร O/W ที่มีน้ำมันไม่เกิน 25% และทนต่ออิเล็กโทรไลต์ สามารถใช้แบบไม่ใช้ความร้อนได้ ส่วน Milk Lotion Maker™ สามารถรองรับปริมาณน้ำมันที่สูงกว่า (สูงสุด 40%) แต่ต้องใช้ความร้อนและไม่ทนต่ออิเล็กโทรไลต์
ดังนั้น คุณควรเลือกใช้อิมัลซิไฟเออร์ที่เหมาะสมตามประเภทของระบบที่คุณต้องการ (W/O หรือ O/W) แทนที่จะใช้ทั้งหมดร่วมกัน
2. ความจำเป็นในการใช้ Magnesium Sulfate เมื่อใช้อิมัลซิไฟเออร์อื่น
Magnesium Sulfate ได้รับการแนะนำเป็นพิเศษให้ใช้เป็นสารช่วยเพิ่มความคงตัวสำหรับอิมัลชันแบบ Water-in-Oil (เช่น สูตรที่ใช้ Water-in-Oil EZ™ หรือ Water-in-Oil Max™) ในอัตราส่วนที่แนะนำคือ 1% ช่วยเพิ่มความคงตัวและลดโอกาสการแยกชั้นในระบบ W/O
Magnesium Sulfate ไม่เหมาะ สำหรับใช้ในอิมัลชันแบบ Oil-in-Water ทั่วไป (ที่ใช้สารสร้างเนื้อครีมอย่าง Satin Cream Maker™ หรือ Milk Lotion Maker™) การเติมอิเล็กโทรไลต์อย่าง Magnesium Sulfate สามารถทำให้ O/W อิมัลชันส่วนใหญ่ไม่เสถียรได้ แม้ว่า Satin Cream Maker™ จะระบุว่าทนต่ออิเล็กโทรไลต์ก็ตาม
ดังนั้น หากคุณกำลังทำอิมัลชันแบบ Water-in-Oil การเติม Magnesium Sulfate 1% เป็นสิ่งที่แนะนำเพื่อความคงตัว แต่หากคุณกำลังทำอิมัลชันแบบ Oil-in-Water คุณไม่ควรเติม Magnesium Sulfate
3. การเพิ่ม DHHB ในสูตรกันแดด SPF Protect Ultra II
สารผสม SPF Protect Ultra™ II มีส่วนประกอบของ DHHB (Diethylamino Hydroxybenzoyl Hexyl Benzoate) อยู่แล้ว การเพิ่ม DHHB บริสุทธิ์เข้าไปในสูตรจะเพิ่มความเข้มข้นรวมของ DHHB ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA (ค่า PA) เป็นหลัก
ความเข้มข้นสูงสุดของ DHHB ที่อนุญาตให้ใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางในประเทศไทยคือ 10% เพื่อให้ได้การป้องกัน UVA ที่สูงขึ้น เช่น PA++++ โดยทั่วไปต้องใช้ DHHB ในความเข้มข้นรวมสูงกว่า 7.5%
สูตรตัวอย่างของคุณใช้ SPF Protect Ultra™ II 15% ซึ่งให้ค่า PA++ หากต้องการเพิ่มระดับ PA คุณสามารถเพิ่ม DHHB บริสุทธิ์เข้าไปได้ คุณสามารถเพิ่ม DHHB ในอัตราส่วน 2-5% เพื่อเพิ่มการป้องกัน UVA ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยยังคงอยู่ภายใต้ข้อจำกัดความเข้มข้นสูงสุดรวม 10% ของ DHHB ในสูตร คุณจะต้องลดปริมาณน้ำหรือส่วนผสมอื่นที่ไม่จำเป็นลงเพื่อชดเชยปริมาณ DHHB ที่เพิ่มเข้าไป
โปรดจำไว้ว่า DHHB ควรถูกละลายในเฟสน้ำมันของสูตรโดยใช้ความร้อน (ประมาณ 80°C) ก่อนที่จะเข้าสู่ขั้นตอนการทำอิมัลชัน ตามที่อธิบายไว้ในขั้นตอนการผสมของสูตรตัวอย่าง SPF Protect Ultra™ II
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Satin Cream Maker™

Water-in-Oil EZ™ (Cetyl PEG/PPG-10/1 Dimethicone)

Milk Lotion Maker™

SPF Protect Ultra™ II

Magnesium Sulfate (High Purity, Cosmetics Grade)
