คำถามสูตรเซรั่มซับซ้อน: สารกันเสียและไลโปโซม
คำถาม
สอบถามเกี่ยวกับสูตรเซรั่ม/เจลลดริ้วรอยที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์หลากหลายชนิด สามารถเปลี่ยนสารกันเสีย Phenoxyethanol SA เป็น Mild Preserved Eco™ ได้หรือไม่ และ Vitamin E (Tocopheryl Acetate) สามารถใช้เป็น Oil Phase เพียงอย่างเดียวในการสร้าง Liposome ด้วย Phospholipid ได้หรือไม่?
คำตอบ
คำตอบสำหรับคำถามเกี่ยวกับสูตร
จากส่วนประกอบในสูตรเจลลดริ้วรอยของคุณ และคำถามเฉพาะที่คุณสอบถาม มีข้อมูลดังนี้ค่ะ
การเปลี่ยนสารกันเสีย: Phenoxyethanol SA เทียบกับ Mild Preserved Eco™
คุณสอบถามว่าสามารถเปลี่ยนสารกันเสีย Phenoxyethanol SA (เทียบเท่า Optiphen Plus) เป็น Mild Preserved Eco™ ได้หรือไม่
- Phenoxyethanol SA เป็นสารกันเสียแบบ Broad-spectrum ที่มีประสิทธิภาพในช่วง pH 2.0-6.0 โดยทั่วไปใช้ที่ความเข้มข้น 0.5-1.25%
- Mild Preserved Eco™ ประกอบด้วย Ethylhexylglycerin และ 1,3 Propanediol ถือว่าอ่อนโยนและไม่จัดเป็นสารกันเสียตามข้อกำหนดของ FDA ทำให้สามารถเคลมว่า "ปราศจากสารกันเสีย" ได้ มีประสิทธิภาพในช่วง pH 4-9 และแนะนำให้ใช้ที่ความเข้มข้น 1.0-1.5% สำหรับสูตรทั่วไป หรือสูงสุด 2.0% สำหรับสูตรที่ควบคุมเชื้อยาก
คำตอบ: ได้ค่ะ คุณสามารถพิจารณาเปลี่ยน Phenoxyethanol SA เป็น Mild Preserved Eco™ ได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องตรวจสอบค่า pH สุดท้ายของสูตรคุณ Mild Preserved Eco™ มีประสิทธิภาพในช่วง pH 4-9 สูตรของคุณมี Vitamin C (L-ascorbic acid) 5% ซึ่งสามารถทำให้ pH ต่ำลงได้อย่างมาก หาก pH สุดท้ายของสูตรคุณต่ำกว่า 4.0 Mild Preserved Eco™ อาจไม่มีประสิทธิภาพในการกันเสียที่เพียงพอ แต่ถ้า pH อยู่ที่ 4.0 หรือสูงกว่า ก็สามารถใช้ Mild Preserved Eco™ ได้ โดยอาจใช้ที่ความเข้มข้น 1.0-1.5% หรือสูงถึง 2% เนื่องจากสูตรของคุณมีความซับซ้อนและมีส่วนผสมออกฤทธิ์หลายชนิด
ข้อควรทราบ: ไม่ว่าจะใช้สารกันเสียชนิดใดก็ตาม แนะนำอย่างยิ่งให้ทำการทดสอบ Challenge Test สำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางใดๆ ที่ต้องการจำหน่าย เพื่อให้แน่ใจว่าสูตรได้รับการปกป้องจากการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์อย่างเพียงพอ
การใช้ Vitamin E เป็น Oil Phase ในการสร้าง Liposome ด้วย Phospholipid
คุณสอบถามว่าเมื่อต้องการสร้าง Liposome จาก Phospholipid สามารถใช้ Vitamin E (Tocopheryl Acetate) ในสูตรเป็น Oil Phase ได้หรือไม่ หรือควรมี Oil ชนิดอื่นเพิ่ม
- Phospholipid (Hydrogenated Lecithin) สามารถสร้าง Liposome ได้ และสามารถกระจายตัวได้ทั้งในน้ำและในน้ำมันที่อุณหภูมิห้อง (ต่ำกว่า 40°C) สูตรจะต้องมีทั้งส่วนที่เป็นน้ำและส่วนที่เป็นน้ำมันเพื่อให้ Phospholipid กระจายตัวและสร้าง Liposome ได้อย่างเหมาะสม
- Vitamin E (Tocopheryl Acetate) เป็นส่วนผสมที่ละลายในน้ำมัน
คำตอบ: ได้ค่ะ Vitamin E (Tocopheryl Acetate) ซึ่งละลายในน้ำมัน สามารถเป็นส่วนหนึ่งของ Oil Phase เมื่อทำงานร่วมกับ Phospholipid เพื่อสร้าง Liposome ได้อย่างแน่นอน Phospholipid ต้องการส่วนประกอบทั้งน้ำและน้ำมันในสูตรเพื่อกระจายตัวได้อย่างถูกต้องและช่วยในการสร้าง Liposome
แม้ว่า Vitamin E จะเป็นส่วนหนึ่งของ Oil Phase ได้ แต่การใช้ Vitamin E เพียง 1% เป็น Oil Phase ทั้งหมด อาจไม่เพียงพอสำหรับการสร้างโครงสร้าง Liposome ที่เหมาะสม หรือความคงตัวโดยรวมของสูตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้ Phospholipid 3% Phospholipid มักถูกใช้ในสูตรครีมซึ่งโดยทั่วไปมี Oil Phase ที่มากกว่าเพียง 1% ดังนั้น การมีส่วนผสม Oil Phase อื่นๆ เพิ่มเติมในสูตรน่าจะเป็นประโยชน์หรือจำเป็นเพื่อให้การสร้าง Liposome มีประสิทธิภาพและโครงสร้างสูตรมีความคงตัว
คำแนะนำเพิ่มเติม
สูตรของคุณมีความซับซ้อนมาก โดยมีส่วนผสมออกฤทธิ์หลายชนิดในความเข้มข้นสูง รวมถึง Vitamin C (L-ascorbic acid) และ ActiveRelease Retinal™ การผสมส่วนผสมออกฤทธิ์ที่มีศักยภาพหลายชนิดเข้าด้วยกันต้องพิจารณาถึงความเข้ากันได้และความคงตัวอย่างรอบคอบ
- การจัดการค่า pH: การใช้ L-ascorbic acid (ซึ่งชอบ pH ต่ำ) ร่วมกับ Mild Preserved Eco™ (ซึ่งต้องการ pH 4-9 เพื่อประสิทธิภาพ) เน้นย้ำถึงความสำคัญอย่างยิ่งในการวัดและควบคุมค่า pH สุดท้ายของสูตร หากคุณใช้ Mild Preserved Eco™ ตรวจสอบให้แน่ใจว่า pH อยู่ในช่วงที่มีประสิทธิภาพ
- การทดสอบความคงตัว: ด้วยจำนวนและความเข้มข้นของส่วนผสมออกฤทธิ์ โดยเฉพาะ Vitamin C และ Retinal ซึ่งอาจไม่คงตัว การทดสอบความคงตัวอย่างเข้มงวด (รวมถึงการตรวจสอบ pH สี กลิ่น และความหนืดเมื่อเวลาผ่านไปและภายใต้สภาวะอุณหภูมิที่แตกต่างกัน) เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ยังคงมีประสิทธิภาพและปลอดภัยตลอดอายุการเก็บรักษา
- ปฏิกิริยาระหว่างส่วนผสม: โปรดระวังปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้นระหว่างส่วนผสมออกฤทธิ์ต่างๆ แม้ว่าหลายๆ การผสมผสานจะเป็นประโยชน์ แต่บางอย่างอาจนำไปสู่การเสื่อมสภาพหรือลดประสิทธิภาพได้
การพิจารณาประเด็นข้างต้นอย่างรอบคอบและทำการทดสอบที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณสร้างเจลลดริ้วรอยที่มีความคงตัวและมีประสิทธิภาพได้ค่ะ
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Pep®-Coll (Palmitoyl tripeptide-5)

Vitamin E (Tocopheryl Acetate)

Safe-B3™ (Vitamin B3, Niacinamide)

Allantoin

Hyaluronic Acid (Small Molecule)

Panthenol (Vitamin B5, DL-Panthenol, Powder)

Vitamin C (L-ascorbic acid) (Fine)

Glycerin (USP/Food Grade)

Disodium EDTA

TreMoisture™ (Trehalose)

Pro Polymer™ (Gel Maker)

DMAE (SkinTight MD™) Liquid

Phenoxyethanol SA (eq. Optiphen Plus)

Mild Preserved Eco™ (Preservative-Free)

Adenosine Liposome

Phospholipid

Laurocapram (Water Soluble)

L-Arginine
