คำถามเกี่ยวกับการคิดค้นสูตรสำหรับผิวมัน ความเข้มข้นของเปปไทด์ และเบสกันแดดแบบ W/O
คำถาม
คำถามที่ 1: สำหรับผิวมัน เมื่อใช้ Powder Cream และ Matte Silica เพื่อปรับปรุงเนื้อสัมผัสสำหรับส่วนผสมที่ละลายในน้ำมันต่างๆ รวมถึงน้ำมันต่างๆ เช่น Activated Resorcinol (4-butyl Resorcinol), MSH White, Kojic Acid Dipalmitate, Sym-White (Phenylethyl Resorcinol) รวมถึง PE-1 Aqua หรือละลายใน LipidSoft Lite:
ประสิทธิภาพด้าน Whitening และ penetration enhancer (การนำพา) จะลดลงจากการดูดซับน้ำมันของ emollients หรือไม่?
ถ้ายังมีความจำเป็นต้องใช้เพื่อแต่ง Skin feel ให้แห้งลื่น ไม่เหนียวและมัน จะมีผลกระทบอย่างไร?
คำถามที่ 2: มีข้อมูลหลายแห่งที่ตรงกัน (หรือลอกๆ กันมา) ว่า Cream de La Mer ใส่ Argireline 15% และ Matrixyl 3000 10% ซึ่งเกินปริมาณเปอร์เซ็นต์ที่ผู้ผลิตกำหนด (ไม่ทราบว่าเปอร์เซ็นต์ที่ FDA ของ USA กำหนดเท่าใด)
ถ้าใส่จริงตามนี้ แสดงว่าสามารถช่วยให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น หรือว่าเป็นไปเพื่อความเสถียรของส่วนผสมในระหว่างขนส่ง สต็อกสินค้า จนกระทั่งถึงมือผู้บริโภคใช้ โดยที่ไม่ต้องเก็บไว้ในที่เย็นตลอดเวลา?
หรือส่วนผสมที่ La Mer ใช้มีที่มาจากผู้ผลิตต่างกันจึงมีความเข้มข้นต่างกันด้วย หรืออาจจะดัดแปลงให้ส่วนผสมเข้ากับสูตรได้ง่ายขึ้น จึงต้องเพิ่มสารบางตัวลงไปจึงต้องใช้ในปริมาณที่มากเพิ่มขึ้นด้วย
หลายๆ แบรนด์ที่ขายฝั่งอเมริกาก็มีการใช้ Peptide ทั้งสามชนิดรวมกันคือ Argireline, Matrixyl 3000 และ Pep-Coll ในปริมาณเปอร์เซ็นต์ที่มีประสิทธิภาพในการทำงานได้จริง ไม่ใช่ใส่เพื่อผลประโยชน์ด้านการตลาด
ซึ่งเรื่องดังกล่าวเคยถามคำถามแบบนี้กับทางทีมงานและคุณ C7 ได้เข้ามาตอบว่า ไม่จำเป็นต้องใช้ Matrixyl 3000 รวมกับ Pep-Coll เพราะมีลักษณะการทำงานที่เหมือนกัน ไม่ได้ช่วยให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดริ้วรอยเพิ่มขึ้น
ก็นะ อาจจะเป็นการใส่เพื่ออัพราคาสำหรับผู้บริโภคบางท่านที่ต้องการสินค้ามีคุณภาพดีแบบที่มีสารประกอบหลักสำคัญหลายชนิดและมีเปอร์เซ็นต์มากกว่า แต่เป็นแบรนด์ใหม่ๆ ที่ต้องการทำการตลาด ขายความคุ้มค่า?
หรือว่าเขาพบว่า สาร Peptide ทั้งสามชนิดมีโครงสร้างพันธะโมเลกุลที่ต่างกัน แม้ว่าจะทำงานแบบเดียวกันระหว่าง Matrixyl 3000 และ Pep-Coll แต่ก็สามารถทำงานส่งเสริมกันได้ดีขึ้น? เพราะต้นทุนที่สูงขึ้นมากคงไม่มีใครอยากเพิ่ม เว้นแต่มันทำงานเสริมกันได้จริงๆ ก็คงเป็นความลับของบริษัทเขา (แบบเดียวกะที่แบรนด์ฝั่งอเมริกาชอบใช้ Caffeine ในผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอย ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้มี Research หรือ comment จากผู้บริโภคว่าทำงานได้จริง) แต่ก็อยากถามเผื่อว่ามีข้อมูล Research ใหม่ อัปเดตมาเพิ่มเติม?
แต่ส่วนตัวที่ทำใช้ ใส่เต็มเปอร์เซ็นต์ทั้งสามชนิดและเพิ่ม Retinol ด้วย เพราะ Peptide ถูกสร้างขึ้นมาทดแทน Retinol ให้ผลในการทำงานในช่วงแรกได้ดี แต่จากกราฟตารางเปรียบเทียบสุดท้ายก็เท่ากับ Retinol แต่ไม่มีข้อเสียแบบ Retinol (เก๊าก็แค่บอกเฉยๆ อริๆ) ตกลงว่าเปอร์เซ็นต์มันใส่ได้เท่าไรกันนร้าาาา
คำถามที่ 3: Water-in-Oil EZ สามารถนำมาผลิตเป็นเบสครีมของครีมบำรุงสำหรับผิวมัน ที่เพิ่มสารป้องกัน SPF เหมาะสมหรือไม่? โดยผสม Water-in-Oil EZ ใน Isododecane แทนน้ำมันได้เลยใช่หรือไม่ โดยไม่ต้องใช้น้ำมัน
ถามเพราะในคำแนะนำบอกไว้ว่าเหมาะสำหรับผิวแห้ง หรือผิวที่อยู่ที่มีอากาศเย็นและแห้งตลอดเวลา
ขอบคุณมากมายครับ
คำตอบ
ตอบคำถามเกี่ยวกับการคิดค้นสูตร
นี่คือคำตอบสำหรับคำถามเกี่ยวกับการคิดค้นสูตรของคุณ:
1. ผลกระทบของผงต่อสารออกฤทธิ์ที่ละลายในน้ำมันและสารช่วยนำพา
การใช้ผงดูดซับน้ำมัน เช่น Powder Cream และ Matte Silica เพื่อปรับปรุงเนื้อสัมผัสของสูตรสำหรับผิวมัน สามารถส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของสารออกฤทธิ์ที่ละลายในน้ำมัน (เช่น Activated Resorcinol, MSH White, Kojic Acid Dipalmitate และ Sym-White) และสารช่วยนำพา (เช่น PE-1 Aqua หรือ LipidSoft Lite ที่ใช้เป็นตัวทำละลาย/ตัวนำพา) ได้
ผงเหล่านี้ทำงานโดยการดูดซับเฟสน้ำมันของสูตร ซึ่งเป็นส่วนที่สารออกฤทธิ์ที่ละลายในน้ำมันและสารช่วยนำพาของคุณละลายอยู่ เมื่อตัวนำพาน้ำมันถูกดูดซับโดยผง อาจทำให้สารออกฤทธิ์เข้าสู่ผิวได้น้อยลง ซึ่งอาจลดประสิทธิภาพของสารเหล่านั้นลงได้ หน้าที่ของสารช่วยนำพา ซึ่งอาศัยตัวนำพาในการนำพาสารออกฤทธิ์เข้าสู่ผิว ก็อาจลดลงด้วย
มีการแลกเปลี่ยนระหว่างการได้เนื้อสัมผัสที่แห้ง ไม่เหนอะหนะ และการรับรองการนำส่งสารออกฤทธิ์ที่เหมาะสม เพื่อลดผลกระทบต่อประสิทธิภาพในขณะที่ยังคงปรับปรุงเนื้อสัมผัสของผิว ให้พิจารณาถึง:
- ใช้ความเข้มข้นต่ำสุดของผงดูดซับน้ำมันที่ให้ผลตามต้องการ
- สำรวจผงประเภทต่างๆ ซิลิกาบางชนิดที่เคลือบผิว เช่น MatteSilica S (เคลือบด้วย Dimethicone) อาจให้ความรู้สึกนุ่มนวลขึ้น แม้ว่าจะยังคงดูดซับน้ำมันอยู่ UltraBlur Silica มีข้อสังเกตว่าดูดซับน้ำมันได้น้อยกว่า แต่หน้าที่หลักคือการเบลอผิว
- ปรับปรุงเทคนิคการผสมเพื่อให้แน่ใจว่าสารออกฤทธิ์กระจายตัวได้ดีก่อนที่จะใส่ผงลงไป
2. ความเข้มข้นของเปปไทด์ที่สูงในผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์
การสังเกตว่าผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์บางชนิด เช่น Cream de La Mer และแบรนด์บางแห่งในสหรัฐอเมริกา ดูเหมือนจะใช้ Argireline, Matrixyl 3000 และ Pep-Coll ในความเข้มข้นที่สูงกว่าอัตราการใช้ที่แนะนำโดยทั่วไป (เช่น Argireline 15%, Matrixyl 3000 10%) อาจเกิดจากปัจจัยหลายประการ:
- การรับรู้ถึงประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น: แม้ว่าซัพพลายเออร์วัตถุดิบจะให้คำแนะนำอัตราการใช้ตามการศึกษาของพวกเขา แต่บางแบรนด์อาจเชื่อว่าความเข้มข้นที่สูงขึ้นนำไปสู่ผลลัพธ์ที่มากขึ้นหรือเร็วขึ้น แม้ว่าข้อมูลทางคลินิกที่ความเข้มข้นสูงเหล่านั้นจะไม่มีเผยแพร่ต่อสาธารณะ หรือประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นไม่ได้เป็นเส้นตรง
- กลยุทธ์ทางการตลาด: เปอร์เซ็นต์ที่สูงของสารออกฤทธิ์ที่เป็นที่นิยมสามารถเป็นจุดขายที่สำคัญ ดึงดูดผู้บริโภคที่เชื่อมโยงความเข้มข้นที่สูงขึ้นกับประสิทธิภาพหรือคุณค่าที่มากขึ้น
- กลไกเสริมฤทธิ์: แม้ว่า Matrixyl 3000 และ Pep-Coll จะมีกลไกการทำงานที่คล้ายคลึงกัน (กระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจน) แต่การรวมเปปไทด์ที่มีหน้าที่แตกต่างกัน เช่น Argireline (ซึ่งเป้าหมายคือการคลายกล้ามเนื้อ) กับสารกระตุ้นคอลลาเจน อาจเป็นกลยุทธ์ในการจัดการกับหลายๆ ด้านของการเกิดริ้วรอย การรวมกับสารต่อต้านริ้วรอยที่มีศักยภาพอื่นๆ เช่น Retinol ก็เป็นแนวทางทั่วไปเช่นกัน แม้ว่าจะต้องพิจารณาถึงโอกาสในการระคายเคืองที่อาจเกิดขึ้นได้
- การคิดค้นสูตรและความคงตัว: ในบางสูตรที่ซับซ้อน อาจใช้ความเข้มข้นเริ่มต้นที่สูงขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่ามีสารออกฤทธิ์ในระดับหนึ่งที่ยังคงมีประสิทธิภาพตลอดอายุการเก็บรักษาของผลิตภัณฑ์ แม้ว่านี่จะไม่ใช่ปัจจัยหลักในการใช้เปอร์เซ็นต์ที่สูงมากเช่นนี้
สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าในสหรัฐอเมริกา FDA ไม่ได้กำหนดขีดจำกัดเปอร์เซ็นต์ที่เข้มงวดสำหรับส่วนผสมเครื่องสำอางส่วนใหญ่ ซึ่งแตกต่างจากยา ความรับผิดชอบอยู่ที่ผู้ผลิตในการรับรองความปลอดภัยและการติดฉลากที่ถูกต้อง อัตราการใช้ที่แนะนำมักจะมาจากซัพพลายเออร์วัตถุดิบตามการทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยของพวกเขา การใช้เกินอัตราที่แนะนำของซัพพลายเออร์ไม่ได้หมายความว่าประสิทธิภาพจะเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนเสมอไป และอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการระคายเคืองหรือความไวของผิวได้
ข้อมูลก่อนหน้านี้ของคุณเกี่ยวกับ Matrixyl 3000 และ Pep-Coll ที่มีกลไกคล้ายคลึงกันนั้นถูกต้องโดยทั่วไป ทั้งสองเป็น signal peptides ที่ส่งเสริมการผลิตคอลลาเจน การรวมกันของทั้งสองอาจไม่ได้ให้ประโยชน์เสริมฤทธิ์อย่างแท้จริงในแง่ของการกระตุ้นคอลลาเจนเมื่อเทียบกับการใช้ตัวใดตัวหนึ่งในความเข้มข้นที่เหมาะสม แต่ผู้คิดค้นสูตรอาจรวมทั้งสองอย่างเพื่อประโยชน์อื่นๆ ที่รับรู้ได้หรือเพื่อการตลาด
3. Water-in-Oil EZ เป็นเบสครีมสำหรับผิวมันและมี SPF
Water-in-Oil EZ เป็นอิมัลซิไฟเออร์ที่ออกแบบมาเพื่อสร้างอิมัลชันแบบ Water-in-Oil (W/O) แม้ว่าคุณจะสามารถใช้อิมอลเลียนต์เนื้อบางเบาอย่าง Isododecane เป็นเฟสน้ำมันร่วมกับ Water-in-Oil EZ ได้ แต่เบสอิมัลชันแบบ W/O โดยทั่วไปแล้วไม่เหมาะสำหรับผิวมันเท่ากับอิมัลชันแบบ Oil-in-Water (O/W)
เหตุผลคือ:
- เนื้อสัมผัส: อิมัลชันแบบ W/O มีเฟสน้ำมันอยู่ด้านนอก ซึ่งมักจะให้ความรู้สึกเคลือบผิว หนัก และอาจเหนอะหนะบนผิวมากกว่าอิมัลชันแบบ O/W ซึ่งมีเฟสน้ำอยู่ด้านนอก นี่คือเหตุผลที่อิมัลชันแบบ W/O มักถูกแนะนำสำหรับผิวแห้ง หรือใช้ในสภาพอากาศที่แห้ง/เย็น เนื่องจากให้เกราะป้องกันที่ดีเพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำ
- ความเหมาะสมสำหรับ SPF: อิมัลชันแบบ Water-in-Oil เหมาะสำหรับสูตรกันแดด เนื่องจากคุณสมบัติในการกันน้ำ ทำให้มีความคงทนและกันน้ำได้ดี ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผลิตภัณฑ์ SPF
แม้ว่าการใช้ Isododecane จะทำให้เฟสน้ำมันเบาลงเมื่อเทียบกับน้ำมันที่หนักกว่า แต่ความรู้สึกโดยรวมของอิมัลชันแบบ W/O อาจยังคงหนักเกินไปสำหรับผู้ที่มีผิวมันที่ต้องการผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหนอะหนะ หากความเบาและความไม่เหนอะหนะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผิวมัน เบสอิมัลชันแบบ Oil-in-Water มักเป็นทางเลือกที่ดีกว่า แม้จะเป็นผลิตภัณฑ์ SPF อย่างไรก็ตาม หากความคงทนและการกันน้ำเป็นเป้าหมายหลัก อิมัลชันแบบ W/O ที่มีเฟสน้ำมันเบาๆ เช่น Isododecane โดยใช้ Water-in-Oil EZ ก็สามารถมีประสิทธิภาพสำหรับหน้าที่ SPF ได้ แต่เนื้อสัมผัสอาจไม่เหมาะสำหรับทุกสภาพผิวมัน
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Acetyl Hexapeptide-8 (eq Argireline)

Pep®-Coll (Palmitoyl tripeptide-5)

Pal-GHK, Pal-GQPR (eq Matrixyl 3000)

Kojic Acid Dipalmitate

Isododecane (Germany)

Activated Resorcinol™ (4-Butyl Resorcinol)

MatteSilica 5™ (5 Micron)

LipidSoft™ Lite (Isononyl Nonanoate)

MatteSilica 5XL™ (5 Micron, Max Oil Absorb)

MSH White™ (Undecylenoyl phenylalanine)

Water-in-Oil EZ™ (Cetyl PEG/PPG-10/1 Dimethicone)

Phenylethyl Resorcinol (e.q. SymWhite 377)

MatteSilica 5S™ (5 Micron, Dimethicone Coated)

Isododecane (Ultra Lite)

Retinol (100% Pure Powder)

Retinol (50% liquid)

Isododecane Gel (Thixotropic)
