คำถามเกี่ยวกับการพัฒนาสูตรเจลแก้ฝ้าหน้าใสในเบสว่านหางจระเข้
คำถาม
ต้องการทำผลิตภัณฑ์เนื้อเจลสำหรับแก้ฝ้าและปรับผิวให้ขาวใส โดยใช้ Pure Aloe Vera Gel เป็นเบส มีแผนจะเพิ่มส่วนผสมดังนี้:
- GlucoBright 4%
- Azelaic Acid (Liquid Azelaic™) 10%
- Tranexamic Acid (Trans-White™) 3%
- Vitamin B3 (Safe-B3™) 2%
- Water Lock™ 2%
- Bisabolol (Natural Bisabolol) 1%
- Beta Glucan 10%
- Phenoxyethanol 1%
มีคำถามเกี่ยวกับสูตรนี้หลายข้อดังนี้:
- สูตรนี้มีส่วนผสมมากเกินไปหรือไม่ และการเติมสารในปริมาณสูง (รวม 33%) จะส่งผลต่อเนื้อสัมผัสและปริมาณน้ำในเบสเจลอย่างไร?
- มีความเสี่ยงต่อการระคายเคืองผิวจากการรวมสารแอคทีฟเหล่านี้ (Azelaic Acid, Tranexamic Acid, Vitamin B3) มากน้อยแค่ไหน?
- การเพิ่ม Bisabolol (1%) และ Beta Glucan (10%) จะช่วยลดการระคายเคืองที่อาจเกิดขึ้นได้หรือไม่?
- ควรจัดการกับการออกแดดอย่างไรเมื่อใช้ Azelaic Acid? สารนี้ทำให้ผิวไวต่อแสงหรือไม่?
- เมื่อใช้ GlucoBright ที่ 4% ควรใช้ Vitamin B3 ที่ 2% หรือ 5% เพื่อเสริมประสิทธิภาพด้านความขาวใส โดยคำนึงถึงโอกาสระคายเคือง?
- สามารถผสมน้ำหอมลงในเบส Pure Aloe Vera Gel ที่เป็น Tester ได้อย่างไร?
คำตอบ
คำแนะนำสำหรับสูตรแก้ฝ้าหน้าขาวใสใน Pure Aloe Vera Gel
สำหรับผู้เริ่มต้นที่ต้องการทำผลิตภัณฑ์แก้ฝ้าและปรับผิวให้ขาวใส การเลือกใช้บริการ Tester และการศึกษาข้อมูลส่วนผสมอย่างละเอียดเป็นแนวทางที่ดีค่ะ จากสูตรที่คุณสนใจที่จะเพิ่มลงใน Pure Aloe Vera Gel มีข้อแนะนำและคำตอบสำหรับคำถามของคุณดังนี้ค่ะ
1. สูตรมีส่วนผสมมากเกินไปหรือไม่ และผลต่อปริมาณน้ำ
เมื่อรวมเปอร์เซ็นต์ของสารที่คุณต้องการเพิ่มเข้าไป (4% GlucoBright + 10% Azelaic Acid + 3% Tranexamic Acid + 2% Vitamin B3 + 2% Water Lock + 1% Bisabolol + 10% Beta Glucan + 1% Phenoxyethanol) จะได้สารทั้งหมด 33% ที่เติมเข้าไปในเบส Pure Aloe Vera Gel ซึ่งเบสเองก็มีส่วนประกอบอื่นๆ อยู่แล้ว (เช่น Aloe Vera Extract, Vitamin B5, Allantoin, Pro Polymer, Phenoxyethanol และน้ำ) การเติมสารแอคทีฟในปริมาณสูงถึง 33% อาจทำให้สัดส่วนของน้ำในสูตรสุดท้ายลดลงอย่างมาก ซึ่งอาจส่งผลให้เนื้อผลิตภัณฑ์มีความเหนียวเหนอะหนะ ไม่สบายผิว ตามที่คุณได้ศึกษามาและที่คุณ C7 ได้ให้คำแนะนำไว้ค่ะ
คุณ C7 แนะนำว่าการมีส่วนผสมเยอะขนาดนี้อาจทำให้เนื้อหนักได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคล แต่ถ้าเนื้อหนักเกินไป อาจพิจารณาเพิ่มส่วนผสมที่ช่วยให้ความลื่น เช่น กลุ่มซิลิโคน หรือ Emollient (หากทาง Tester มีตัวเลือกให้) เพื่อช่วยให้เกลี่ยง่ายขึ้นค่ะ
2. ความเสี่ยงต่อการระคายเคือง
ในสูตรนี้มีส่วนผสมที่มีฤทธิ์ในการทำงานสูงหลายตัว ได้แก่ Azelaic Acid, Tranexamic Acid และ Vitamin B3 (Niacinamide)
- Azelaic Acid (Liquid Azelaic™) และ Tranexamic Acid (Trans-White™) มีประสิทธิภาพสูงในการลดฝ้าและจุดด่างดำ แต่ก็มีโอกาสทำให้เกิดการระคายเคืองผิวได้ โดยเฉพาะ Azelaic Acid ที่มีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิว
- Vitamin B3 (Safe-B3™) โดยทั่วไปไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง แต่การใช้ในความเข้มข้นสูง (เช่น 5% หรือ 10%) ในบางรายอาจมีอาการแดงหรือรู้สึกร้อนวูบวาบ (Flushing) ได้ ซึ่งเป็นอาการชั่วคราว อย่างที่คุณ C7 ได้กล่าวไว้ว่า Vitamin B3 ไม่เกี่ยวข้องกับการระคายเคืองเหมือนสองตัวแรก
การรวมสารแอคทีฟหลายชนิดที่มีโอกาสระคายเคืองในสูตรเดียวกัน ย่อมเพิ่มความเสี่ยงต่อการระคายเคืองผิวได้มากกว่าการใช้เพียงตัวเดียวค่ะ ระดับความรุนแรงขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล หากผิวของคุณมีแนวโน้มแพ้ง่าย หรือกำลังใช้ยารักษาสิวที่ทำให้ผิวอ่อนแออยู่แล้ว ความเสี่ยงก็จะสูงขึ้นค่ะ
3. การปรับลดส่วนผสมเพื่อลดความเสี่ยงระคายเคือง
หากกังวลเรื่องการระคายเคือง การลดจำนวนหรือความเข้มข้นของสารแอคทีฟบางตัวเป็นทางเลือกที่ดีค่ะ
คุณ C7 แนะนำว่าหากเป้าหมายหลักคือผิวสว่างใสขึ้น ไม่ใช่การรักษาฝ้าโดยตรง การใช้เพียง Vitamin B3 ร่วมกับ GlucoBright ก็เพียงพอที่จะช่วยให้ผิวขาวใสขึ้นได้ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ระคายเคืองน้อยกว่า
แต่หากต้องการเน้นรักษาฝ้า Azelaic Acid และ Tranexamic Acid จะมีประสิทธิภาพสูงกว่า อย่างไรก็ตาม การใช้สองตัวนี้ร่วมกันอาจเพิ่มโอกาสระคายเคืองได้ หากผิวของคุณไม่เคยชินกับสารกลุ่มนี้ อาจพิจารณาเริ่มต้นใช้ทีละตัว หรือใช้ในความเข้มข้นที่ต่ำลงก่อนค่ะ
การจับคู่สารตามที่คุณคิดไว้ เช่น Azelaic Acid คู่กับ Tranexamic Acid และ Vitamin B3 คู่กับ GlucoBright ก็เป็นแนวคิดที่ดีในการแบ่งกลุ่มสารตามคุณสมบัติหลักและอาจช่วยให้ควบคุมผลลัพธ์และการระคายเคืองได้ง่ายขึ้นค่ะ
4. Bisabolol และ Beta Glucan ช่วยลดการระคายเคืองได้หรือไม่
ถูกต้องค่ะ Bisabolol (Natural Bisabolol) และ Beta Glucan เป็นสารที่มีคุณสมบัติช่วยปลอบประโลมผิว ลดการอักเสบ และลดการระคายเคืองได้ดี การที่คุณเลือกใส่สารทั้งสองตัวนี้ในสูตรที่มีสารแอคทีฟที่อาจก่อการระคายเคือง ถือเป็นการทำที่ถูกต้องและช่วยลดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ค่ะ
- Bisabolol มีคุณสมบัติลดการอักเสบและระคายเคือง แนะนำให้ใช้ที่ 0.5-1% โดย 1% ตามที่คุณต้องการใช้เป็นความเข้มข้นที่แนะนำสูงสุดค่ะ
- Beta Glucan ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันผิว ลดอาการแพ้ และลดการระคายเคือง แนะนำให้ใช้ที่ 1-10% โดย 3% สำหรับผิวปกติ และ 5% สำหรับผิวระคายเคืองง่ายหรือแพ้ง่าย การใช้ที่ 10% ตามที่คุณต้องการใช้เป็นความเข้มข้นสูงสุดที่แนะนำ ซึ่งน่าจะช่วยลดการระคายเคืองในสูตรนี้ได้ดีค่ะ
5. Azelaic Acid และการหลีกเลี่ยงแสงแดด
Azelaic Acid มีฤทธิ์ในการผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวชั้นนอกบางลงชั่วคราว จึงทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้นค่ะ การหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดๆ และการทาครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งเมื่อใช้ Azelaic Acid
คุณสามารถเลือกทา Azelaic Acid เฉพาะตอนกลางคืนเพื่อลดความเสี่ยงจากการสัมผัสแสงแดดโดยตรง หรือหากต้องการทาตอนเช้า ก็ต้องมั่นใจว่าจะทาครีมกันแดดที่มี SPF เพียงพอและหลีกเลี่ยงการออกแดดจัดๆ ค่ะ ไม่ได้ไวต่อแสงเท่ากรดวิตามินเอในแง่ของการสลายตัวเมื่อเจอแสง แต่ไวต่อแสงในแง่ที่ทำให้ผิวที่บางลงจากการผลัดเซลล์เสี่ยงต่อการถูกทำร้ายจาก UV ได้ง่ายขึ้นค่ะ
6. Vitamin B3 2% หรือ 5% เมื่อใช้ร่วมกับ GlucoBright 4%
จากข้อมูลของ GlucoBright (Acetyl Glucosamine) แนะนำให้ใช้ที่ 4% ร่วมกับ Niacinamide (Vitamin B3) ที่ความเข้มข้น 2-4% ดังนั้น การเลือกใช้ Vitamin B3 ที่ 2% จะอยู่ในช่วงความเข้มข้นที่แนะนำให้ใช้ร่วมกับ GlucoBright 4% เพื่อเสริมประสิทธิภาพด้านความขาวใสค่ะ
แม้ว่า Vitamin B3 ชนิด Safe-B3™ จะสามารถใช้ได้ถึง 10% โดยไม่เกิดอาการ Flushing ในบางราย แต่การใช้ 5% อาจทำให้บางคนมีอาการแดงได้ และเมื่อพิจารณาว่าสูตรของคุณมีสารแอคทีฟอื่นๆ ที่อาจก่อการระคายเคืองร่วมด้วย การเริ่มต้นที่ Vitamin B3 2% อาจเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า เพื่อลดโอกาสเกิดการระคายเคืองโดยรวมค่ะ
7. การผสมน้ำหอมใน Tester
ตามที่ Staff ได้ให้ข้อมูลไว้ Tester โดยปกติจะไม่มีการผสมน้ำหอมให้ค่ะ
7.1 คุณสามารถสั่งน้ำหอมแยกต่างหากและนำมาผสมเองได้ค่ะ ทางบริษัทสนับสนุนให้ลูกค้าผสมส่วนผสมเองอยู่แล้ว โดย Tester เป็นเพียงเบสสำหรับทดสอบเท่านั้น
7.2 การผสมน้ำหอมในเบส Pure Aloe Vera Gel ซึ่งเป็นเบสเจลที่ใช้วัตถุดิบกลุ่ม Pro Polymer ในการสร้างเนื้อ สามารถรองรับน้ำมันได้อยู่แล้วในระดับหนึ่งค่ะ แต่เพื่อให้กระจายตัวได้ดีและไม่แยกชั้น โดยเฉพาะหากใช้น้ำหอมที่เป็นน้ำมัน (Fragrance Oil หรือ Essential Oil) คุณควรใช้สารช่วยละลายน้ำหอม (Solubilizer) เช่น Flora Solve™ Clear ค่ะ
วิธีผสมคือ:
- ผสมน้ำหอมที่คุณต้องการกับ Flora Solve™ Clear ในอัตราส่วนที่แนะนำ โดยทั่วไปคือ 2-5 ส่วนของ Flora Solve™ Clear ต่อน้ำหอม 1 ส่วน คนหรือปั่นให้เข้ากันดี
- นำส่วนผสมน้ำหอมที่ละลายแล้วนี้ไปเติมลงในเบส Pure Aloe Vera Gel แล้วคนให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเดียวกันค่ะ
- ความเข้มข้นของน้ำหอมที่ใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าโดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 0.1-0.5% แต่สำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย อาจพิจารณาใช้ในความเข้มข้นที่ต่ำลง หรือหลีกเลี่ยงการใช้น้ำหอมไปเลยค่ะ
หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจปรับสูตรและทำความเข้าใจส่วนผสมต่างๆ นะคะ หากมีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำ Night Cream หรือ Toner รักษาสิว สามารถสอบถามเข้ามาได้เลยค่ะ
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องในคำตอบนี้:
- GlucoBright™ (Acetyl Glucosamine)
- Azelaic Acid (Liquid Azelaic™)
- Tranexamic Acid (Trans-White™)
- Safe-B3™ (Vitamin B3, Niacinamide)
- WaterLock™ (Polyquaternium-51)
- Natural Bisabolol (Brazil Chamomile)
- Beta Glucan (Saccharomyces cerevisiae extract)
- Phenoxyethanol (Extra Pure)
- Aloe Vera Gel (Heavy)
- Aloe Vera Gel (Lite)
- Flora Solve™ Clear (Fragrance Solubilizer)
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Safe-B3™ (Vitamin B3, Niacinamide)

Natural Bisabolol (Brazil Chamomile)

GlucoBright™ (Acetyl Glucosamine)

Phenoxyethanol (Extra Pure)

Aloe Vera Gel (Heavy)

Beta Glucan (Saccharomyces cerevisiae extract)

Azelaic Acid (Liquid Azelaic™)

WaterLock™ (Polyquaternium-51)

Aloe Vera Gel (Lite)
