คุณสมบัติของส่วนผสมเครื่องสำอางและการกำหนดสูตร

1. สารรายการใดบ้างที่เหนียวเหนอะหนะ

จากคำอธิบายผลิตภัณฑ์ สารต่อไปนี้อาจทำให้เกิดความรู้สึกเหนียวเหนอะหนะในสูตร:

• Panthenol (Vitamin B5): คำอธิบายระบุว่าการใช้ Panthenol ในอัตรามากกว่า 5% อาจทำให้ผลิตภัณฑ์ "เหนียวเหนอะหนะ"
• Xanthan Gum: ในฐานะสารเพิ่มความหนืดและสารก่อเจล Xanthan Gum โดยธรรมชาติจะสร้างความหนืดและอาจทำให้รู้สึกเหนียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้ในความเข้มข้นสูง คำอธิบายสำหรับชนิดเจลใสระบุว่าชนิดปกติมี "เนื้อยืดหยุ่น" เมื่อเทียบกับชนิดเนื้อเรียบ ซึ่งอาจถูกมองว่าเหนียว
• MOIST72: แม้จะเป็นสารให้ความชุ่มชื้นเป็นหลัก กลไกของมันเกี่ยวข้องกับการกักเก็บความชื้น และสารให้ความชุ่มชื้นสูงบางชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารที่มาจากน้ำตาล เช่น Saccharide Isomerate (ชื่อ INCI ของ MOIST72) บางครั้งอาจทิ้งความรู้สึกเหนอะหนะเล็กน้อยขึ้นอยู่กับความเข้มข้นและสูตรโดยรวม
• Vitamin E (Tocopheryl Acetate): คำอธิบายสำหรับ Vitamin E ชนิดละลายในน้ำมันระบุว่าหากใช้มากกว่า 0.5% จะทำให้เกิด "ความรู้สึกเหนียวเหนอะหนะบนผิว"
• Galactomyces Ferment Filtrate (aka Pitera): คำอธิบายระบุว่าการใช้ส่วนผสมนี้ในปริมาณมาก (มากกว่า 20%) "อาจรู้สึกเหนียว/มันเล็กน้อย" ซึ่งบางครั้งอาจเกี่ยวข้องกับความรู้สึกเหนียวเหนอะหนะขึ้นอยู่กับเบส
• Lift-Now: ส่วนผสมนี้สร้างฟิล์มบางๆ ชั่วคราวบนผิวเพื่อยกกระชับ ซึ่งบางครั้งอาจทำให้รู้สึกตึงหรือเหนียวเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากใช้ในความเข้มข้นสูง (เกินกว่าที่แนะนำ 5%)

ส่วนผสมอื่นๆ เช่น 4MSK ถูกกล่าวถึงว่าเป็นอิเล็กโทรไลต์ที่ อาจ ส่งผลต่อเนื้อสัมผัสของเจล/ครีมและทำให้เหลว แต่ไม่จำเป็นต้องเหนียว ส่วนผสมอื่นๆ เช่น Ethyl Ascorbic Acid, Tranexamic Acid, Ectoine, Willow Bark Extract, Licorice Extract, Japanese Cedar, Skin-mimic, Repair Activator, Wrinkle-Fill, Adenosine Liposome, Pal-GHK, Argireline, Wrinkle-Lax, PiteraEx, Satin Cream Maker, Warp Cream Maker, Laurocapram, Pure-Succinic, Acacia Salicylic Acid, Energy-Blend และ Idebenone ไม่มีคำอธิบายที่ระบุอย่างชัดเจนว่ามีความเหนียวเป็นลักษณะเฉพาะหรือผลข้างเคียงในอัตราการใช้ที่แนะนำ

2. หากสูตรเดิมใช้ Satin Cream Maker 1.5% และ Xanthan Gum 0.5% เพื่อสร้างเนื้อครีม หากต้องการใช้ Warp Cream Maker สร้างเนื้อครีมแทนต้องใช้ปริมาณกี่%

คำอธิบายผลิตภัณฑ์ระบุอัตราการใช้สำหรับสารก่อเนื้อครีมแต่ละชนิด:

• Satin Cream Maker แนะนำที่ 1-1.5% สำหรับความหนืดทั่วไป และสามารถใช้ได้ถึง 3% สำหรับความหนืดสูงขึ้น สูตรตัวอย่างใช้ 1%
• Xanthan Gum แนะนำที่ 0.1-2% สำหรับความหนืด โดยแนะนำ 1% สำหรับการใช้งานทั่วไป
• Warp Cream Maker มีอัตราการใช้ 1-30% สูตรตัวอย่างสำหรับ Warp Cream Maker ใช้ 8%

การแทนที่ทั้ง Satin Cream Maker (1.5%) และ Xanthan Gum (0.5%) ซึ่งร่วมกันให้ความข้นและอิมัลชัน ด้วย Warp Cream Maker (อิมัลซิไฟเออร์ชนิด water-in-oil/silicone) จะต้องใช้วิธีการที่แตกต่างกัน เนื่องจาก Warp Cream Maker ทำงานแตกต่างออกไป มันสร้างเนื้อครีมที่ซึมซาบเร็ว แห้ง และให้ความรู้สึกเหมือนแป้ง ซึ่งมักใช้ในเครื่องสำอางหรือครีมกันแดด

จากสูตรตัวอย่างที่ให้มาสำหรับ Warp Cream Maker อัตราการใช้ 7-8% แสดงให้เห็นว่าสามารถสร้างเนื้อครีมได้เมื่อใช้ร่วมกับซิลิโคนและน้ำมัน ดังนั้น จุดเริ่มต้นที่ 7-8% ของ Warp Cream Maker จะเหมาะสมในการแทนที่การผสมผสานของ Satin Cream Maker และ Xanthan Gum โดยคำนึงว่าเนื้อสัมผัสที่ได้จะแตกต่างกันอย่างมาก (ซึมซาบเร็ว ให้ความรู้สึกแห้ง) เมื่อเทียบกับครีมที่ทำจาก Satin Cream Maker และ Xanthan Gum ปริมาณที่แน่นอนอาจต้องปรับเปลี่ยนตามเนื้อสัมผัสสุดท้ายที่ต้องการและปริมาณน้ำมัน/ซิลิโคนเฉพาะในสูตรของคุณ

3. Warp Cream Maker สามารถทน electrolyte ได้หรือไหม

คำอธิบายสำหรับ Warp Cream Maker ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าสามารถทนอิเล็กโทรไลต์ได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม คำอธิบายสำหรับ Satin Cream Maker ระบุอย่างชัดเจนว่า สามารถ ทนอิเล็กโทรไลต์ได้และมีความสามารถในการจับน้ำมันสูงกว่า Light Cream Maker การที่ไม่มีการกล่าวอ้างนี้สำหรับ Warp Cream Maker แสดงว่าอาจไม่มีความสามารถในการทนอิเล็กโทรไลต์ในระดับเดียวกับ Satin Cream Maker สูตรที่มีอิเล็กโทรไลต์อาจต้องมีการทดสอบเพื่อให้แน่ใจว่ามีความเสถียรเมื่อใช้ Warp Cream Maker

4. Energy-Blend (ที่มีส่วนผสมบางส่วนคือ Vitamin B3) สามารถใช้ร่วมกับ Vitamin C ได้หรือไม่

Energy-Blend ประกอบด้วย Caffeine, Adenosine และ Vitamin B3 (Niacinamide) ความเข้ากันได้ของ Vitamin B3 (Niacinamide) กับ Vitamin C ขึ้นอยู่กับ ชนิด ของ Vitamin C ที่ใช้

• คำอธิบายสำหรับ Safe-B3 (Vitamin B3, Niacinamide) และ Extreme-B3 (Vitamin B3, Niacinamide) ระบุว่าสามารถผสมในน้ำได้และค่า pH ที่เหมาะสมคือ 3-8 (ดีที่สุดที่ 4.0-7.0)
• คำอธิบายสำหรับ L-Ascorbic Acid (Standard, Fine, และ Ultra-Fine) ระบุว่าค่า pH ที่เหมาะสมคือ 2.0-4.0 (อย. กำหนดขั้นต่ำ 3.5) และระบุอย่างชัดเจนว่า ไม่ควร ใช้ร่วมกับ Vitamin B3
• คำอธิบายสำหรับ Ethyl Ascorbic Acid ระบุว่าค่า pH ต้องอยู่ในช่วง 3.5-6.0 และระบุอย่างชัดเจนว่า ไม่ควร ใช้ร่วมกับ Vitamin B3
• คำอธิบายสำหรับ Ascorbyl Glucoside (AA-2G) ระบุว่าค่า pH ต้องอยู่ในช่วง 6.5-6.8 และระบุอย่างชัดเจนว่า ไม่ควร ใช้ร่วมกับ Safe-B3
• คำอธิบายสำหรับ Perfect-C (Ascorbyl Tetraisopalmitate) ซึ่งเป็น Vitamin C ที่ละลายในน้ำมัน ระบุว่าค่า pH ต้องอยู่ในช่วง 5.0-5.5 และระบุอย่างชัดเจนว่า ไม่ควร ใช้ร่วมกับ Vitamin B3
• คำอธิบายสำหรับ Sodium Ascorbyl Phosphate (SAP) ซึ่งเป็น Vitamin C ที่ละลายในน้ำ ระบุว่าค่า pH ต้องอยู่ในช่วง 7-9 ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าไม่ควรใช้ร่วมกับ Vitamin B3 ในคำแนะนำการผสม แต่ Vitamin C ชนิดละลายในน้ำอื่นๆ ระบุไว้

จากคำอธิบาย Vitamin C ส่วนใหญ่มีปัญหาความเข้ากันได้กับ Vitamin B3 (Niacinamide) ในช่วงค่า pH ที่เหมาะสมสำหรับความเสถียรและประสิทธิภาพ ดังนั้น โดยทั่วไปไม่ควรใช้ Energy-Blend (ที่มี Vitamin B3) ร่วมกับ Vitamin C ส่วนใหญ่ ในสูตรเดียวกัน เนื่องจากอาจมีปัญหาความเข้ากันได้และการสูญเสียประสิทธิภาพหรือความเสถียร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับส่วนประกอบ Niacinamide ใน Energy-Blend

5. หากในสูตรใช้ Idebenone ต้านอนุมูลอิสระ ในสูตรยังจำเป็นต้องใส่ Vitamin E หรือ ActiveProtec เพื่อต้านอนุมูลอิสระและปกป้องส่วนผสมอีกหรือไม่

Idebenone ถูกอธิบายว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง Vitamin E (Tocopheryl Acetate หรือ dl-alpha tocopherol) และ ActiveProtec (ActiveProtec OX และ ActiveProtec UV) ก็ถูกอธิบายว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและ/หรือสารป้องกันรังสียูวีสำหรับส่วนผสมในสูตร

• Idebenone เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสำหรับผิว
• Vitamin E ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระสำหรับทั้งส่วนผสมในสูตรและผิว
• ActiveProtec OX เป็นสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูงที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องส่วนผสมในสูตรจากการเกิดออกซิเดชันโดยเฉพาะ
• ActiveProtec UV ปกป้องส่วนผสมในสูตรจากรังสียูวี

แม้ว่า Idebenone จะให้ประโยชน์ในการต้านอนุมูลอิสระสำหรับผิว ก็ยังคงเป็นประโยชน์และมักจะจำเป็นต้องใส่ Vitamin E และ/หรือ ActiveProtec ในสูตร เพื่อปกป้อง ส่วนผสมในสูตร เองจากการเสื่อมสภาพเนื่องจากการเกิดออกซิเดชันและการสัมผัสรังสียูวี ซึ่งอาจส่งผลต่อความเสถียรและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ทั้งหมด รวมถึง Idebenone ด้วย Vitamin E ให้การปกป้องส่วนผสมและประโยชน์ต่อผิวบางส่วน ในขณะที่ ActiveProtec OX และ UV ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการปกป้องส่วนผสมอย่างครอบคลุม การเลือกระหว่าง Vitamin E และ ActiveProtec หรือการใช้ร่วมกัน ขึ้นอยู่กับความต้องการเฉพาะของสูตรเกี่ยวกับความไวต่อการเกิดออกซิเดชันและรังสียูวี

6. หากในสูตรมี VersaMoist 2% เพื่อปรับผิวสัมผัส/ลดความเหนอะหนะ ยังสามารถใส่ Yerba Santa Glycoprotein 5% เพิ่มลงไปอีกได้หรือไม่

• VersaMoist ถูกอธิบายว่าช่วยปรับปรุงเนื้อสัมผัสของสูตรและลดความเหนอะหนะ โดยมีอัตราการใช้ 0.5-3%
• Yerba Santa Glycoprotein ถูกอธิบายว่าให้เนื้อสัมผัสที่นุ่มลื่นเหมือนซิลิโคนและยังมีคุณสมบัติให้ความชุ่มชื้น โดยมีอัตราการใช้ 1-5%

ส่วนผสมทั้งสองมีส่วนช่วยในเรื่องความรู้สึกบนผิวและเนื้อสัมผัส VersaMoist ช่วยลดความเหนอะหนะ ในขณะที่ Yerba Santa Glycoprotein ให้ความรู้สึกนุ่มลื่นเหมือนซิลิโคนและให้ความชุ่มชื้น การเพิ่ม Yerba Santa Glycoprotein ที่ 5% ในสูตรที่มี VersaMoist อยู่แล้วที่ 2% น่าจะทำได้ เนื่องจากหน้าที่ของมันเสริมกัน (ลดความเหนอะหนะ/ปรับปรุงเนื้อสัมผัส และให้ความรู้สึกนุ่มลื่น/ให้ความชุ่มชื้น) ไม่มีการกล่าวถึงความไม่เข้ากันอย่างชัดเจนในคำอธิบายของพวกเขา อย่างไรก็ตาม ควรประเมินผลกระทบรวมต่อเนื้อสัมผัสสุดท้าย เนื่องจากการเพิ่มส่วนผสมอื่นที่ส่งผลต่อเนื้อสัมผัสอาจเปลี่ยนแปลงความรู้สึกที่ได้จาก VersaMoist เพียงอย่างเดียว แนะนำให้ทดสอบการผสมผสานเฉพาะในสูตรของคุณเพื่อให้ได้เนื้อสัมผัสที่ต้องการ.