คำแนะนำการปรับสูตรเซรั่มเพื่อผิวสว่างใสและแข็งแรง
คำถาม
ผมสั่ง Ingredients Tester base และ actives จากเว็บครับ จากสูตรดังต่อไปนี้ ผมมีคำถามบางประการ เป้าหมายของผมคือการพัฒนาสูตรเซรั่มเพื่อผิวสว่างใส สีผิวสม่ำเสมอ ลดจุดด่างดำ และปลอบประโลม/เสริมสร้างผิวให้แข็งแรง สีเปลี่ยนไปและเนื้อสัมผัสเกิดการปั้นเป็นขุย
ส่วนประกอบ Base และอัตราส่วน:
- Purified Water (ส่วนที่เหลือ)
- Aloe Vera (Actives Extract 10:1) 3.00%
- Pro Polymer 1.50%
- Phenoxyethanol (สารกันเสีย) 1.00%
- Lactic Acid ปรับ pH ที่ 5-6 0-1%
ส่วนประกอบ Active และอัตราส่วน:
- Perfect-C™ (Ascorbyl Tetraisopalmiate) 10%
- Beta Glucan 10%
- Green Tea Extract EGCG 5%
- Vitamin B3 (Safe-B3™) 5%
- Adenosine Complex 5%
- N-Acetyl-D Glucosamine (GlucoBright™) 4%
- Alpha-Arbutin 2%
- Tranexamic Acid 3%
- Bisabolol 1%
- Licorice Root Extract (Licochalcone A) 1.0%
- Allantoin 0.2-0.5%
คำถาม:
- ควรเพิ่มสารให้ผิวขาวตัวอื่นอีกหรือไม่ เช่น Alpha-Arbutin, Nanowhite หรือ Azelaic Acid?
- MatteSilica™ มีผลต่อการซึมสู่ผิวของสารออกฤทธิ์หรือไม่?
- สารใดบ้างที่ทำงานร่วมกับ Adenosine ได้ดี?
- ควรปรับเพิ่มลดสารที่จำเป็นและไม่จำเป็นในสูตรนี้อย่างไร?
- ควรเลือก Peptides ตัวไหนมาเพิ่มดี?
คำตอบ
คำแนะนำการปรับสูตรเพื่อผิวสว่างใสและแข็งแรง
จากเป้าหมายของคุณที่ต้องการให้ผิวสว่างขึ้น สีผิวสม่ำเสมอ ลดจุดด่างดำ และปลอบประโลม/เสริมสร้างผิวให้แข็งแรง รวมถึงพิจารณาจากสูตรทดสอบปัจจุบันของคุณ นี่คือคำแนะนำบางประการ:
1. การเพิ่มสารให้ผิวขาว: Alpha-Arbutin, Nanowhite หรือ Azelaic Acid?
สูตรของคุณมีส่วนประกอบที่ช่วยเรื่องความกระจ่างใสและจุดด่างดำอยู่แล้วหลายตัว เช่น Perfect-C™ (Ascorbyl Tetraisopalmitate), Vitamin B3 (Safe-B3™), GlucoBright™ (N-Acetyl-D Glucosamine) และ Tranexamic Acid การเพิ่มสารให้ความขาวที่มีศักยภาพสูงอีกตัวควรทำอย่างระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคืองและให้แน่ใจว่าสูตรมีความเสถียร
- Alpha-Arbutin: เป็นสารให้ความสว่างแก่ผิวที่ได้รับการยอมรับอย่างดี โดยทำงานยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ซึ่งเป็นเอนไซม์สำคัญในการผลิตเม็ดสี เป็นสารที่ละลายน้ำได้ และโดยทั่วไปถือว่าปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในความเข้มข้นที่แนะนำ (สูงสุด 2%) สามารถใช้ร่วมกับ Vitamin B3 และ GlucoBright™ ที่คุณมีอยู่แล้วได้ดี เนื่องจากทำงานเสริมฤทธิ์กันในการลดเม็ดสี
- Nanowhite: ตามที่กล่าวถึงในความคิดเห็นที่คุณได้รับ Nanowhite มักจะเป็นส่วนผสมของสารต่างๆ เช่น อนุพันธ์ของวิตามินซี, Glutathione และ Alpha Arbutin ที่ถูกห่อหุ้มใน Liposome การนำส่งด้วย Liposome อาจช่วยเพิ่มการซึมผ่านและความเสถียรได้ เนื่องจากสูตรปัจจุบันของคุณมี Ascorbyl Tetraisopalmitate (อนุพันธ์ของวิตามินซี) และ Alpha-Arbutin อยู่แล้ว การเพิ่ม Nanowhite จะเป็นการเพิ่มสารเหล่านี้เข้าไปอีก ซึ่งอาจทำให้ความเข้มข้นโดยรวมสูงขึ้น และยังเพิ่ม Glutathione เข้าไปอีกด้วย วิธีนี้อาจมีประสิทธิภาพ แต่จะเพิ่มความซับซ้อนและปริมาณสารออกฤทธิ์โดยรวมอย่างมาก
- Azelaic Acid (Liquid Azelaic™): Azelaic Acid ในรูปแบบนี้ละลายน้ำได้ และเป็นที่รู้จักในด้านผลลัพธ์ในการทำให้ผิวกระจ่างใส ลดจุดด่างดำ ลดความมันบนผิว ควบคุมการผลิตน้ำมันของรูขุมขน และลดสิว ทำงานผ่านกลไกหลายอย่าง รวมถึงการยับยั้ง Tyrosinase และลดการอักเสบ มีประสิทธิภาพทั้งในการลดเม็ดสีและปรับปรุงสภาพผิว/ลดสิว ซึ่งอาจเป็นประโยชน์หากคุณมีผิวผสมที่ cenderungมัน แนะนำให้ใช้ที่ความเข้มข้น 5-10% เพื่อให้ได้ผลลัพธ์เหล่านี้
คำแนะนำ: เมื่อพิจารณาจากส่วนประกอบที่คุณมีอยู่แล้ว การเพิ่ม Alpha-Arbutin ที่ 2% เป็นทางเลือกที่ไม่ซับซ้อนและเสริมการทำงานของสารออกฤทธิ์ที่คุณมีอยู่แล้ว เช่น Vitamin B3 และ GlucoBright™ เพื่อเพิ่มความกระจ่างใสและลดจุดด่างดำ หากคุณกังวลเรื่องความมันและแนวโน้มการเกิดสิวด้วย Liquid Azelaic™ ที่ 5-10% จะเป็นส่วนเสริมที่แข็งแกร่ง ให้ประโยชน์ทั้งด้านความกระจ่างใสและการควบคุมความมัน Nanowhite ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง แต่ควรพิจารณาความเข้มข้นรวมของสารที่คล้ายคลึงกันและความซับซ้อนโดยรวมของสูตร
2. MatteSilica™ มีผลต่อการซึมสู่ผิวของสารออกฤทธิ์หรือไม่
MatteSilica™ เป็นผงที่มีรูพรุนซึ่งออกแบบมาเพื่อดูดซับน้ำมันและให้ความรู้สึกแมตต์และลื่นในสูตร แม้ว่าหน้าที่หลักคือการปรับปรุงเนื้อสัมผัสและการดูดซับน้ำมันบนผิว แต่ก็เป็นไปได้ว่าในสูตร อาจดูดซับส่วนประกอบที่เป็นของเหลวบางส่วน รวมถึงสารออกฤทธิ์ที่ละลายอยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อความพร้อมในการซึมสู่ผิวในทันที อย่างไรก็ตาม เมื่อทาลงบนผิว สารออกฤทธิ์ควรจะยังคงสามารถถ่ายโอนจากซิลิกาและส่วนอื่นๆ ของสูตรไปยังผิวหนังได้ ระดับของผลกระทบนี้ขึ้นอยู่กับสารออกฤทธิ์นั้นๆ การละลาย และความเข้มข้นของ MatteSilica™ ในสูตรของคุณ MatteSilica™ ที่ 5% ถือเป็นปริมาณที่มากพอสมควร และอาจมีส่วนทำให้เกิดเนื้อสัมผัสและความรู้สึกที่คุณได้รับ
3. สารที่ทำงานร่วมกับ Adenosine ได้ดี
Adenosine เป็นที่รู้จักในด้านคุณสมบัติต่อต้านริ้วรอย ช่วยปรับปรุงริ้วรอยและความยืดหยุ่นของผิวโดยสนับสนุนการทำงานและการซ่อมแซมเซลล์ผิว สารที่เสริมฤทธิ์กับ Adenosine มักจะเน้นเป้าหมายที่คล้ายคลึงกันหรือให้ประโยชน์เสริม:
- Peptides: Peptides หลายชนิดทำงานเสริมฤทธิ์กับ Adenosine เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ปรับปรุงความกระชับของผิว และลดริ้วรอย ตัวอย่างเช่น Palmitoyl Tripeptide-5 (Pep®-Coll), Matrixyl 3000 (Pal-GHK, Pal-GQPR) และ signaling peptides อื่นๆ Acetyl Hexapeptide-8 (Argireline) เป็นที่รู้จักในการลดริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์โดยการคลายกล้ามเนื้อ แต่ไม่ได้กระตุ้นคอลลาเจนเหมือน Pep®-Coll เนื่องจากคุณกล่าวถึงความต้องการเสริมสร้างผิว Peptides ที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและส่วนประกอบ extracellular matrix จะเป็นประโยชน์
- Niacinamide (Vitamin B3): ตามที่ระบุในคำอธิบายของ GlucoBright™ Niacinamide ทำงานได้ดีกับ N-Acetyl Glucosamine ในการทำให้ผิวกระจ่างใส Niacinamide ยังมีประโยชน์ที่กว้างกว่า รวมถึงการปรับปรุงเกราะป้องกันผิว ลดการอักเสบ และอาจสนับสนุนกระบวนการซ่อมแซมผิว ซึ่งสามารถเสริมฤทธิ์ของ Adenosine ได้
- Repair Activator™ (Bifida Ferment Lysate): ส่วนประกอบนี้ถูกกล่าวถึงโดยเฉพาะว่าช่วยซ่อมแซม DNA ของผิวที่เสียหาย ซึ่งสอดคล้องกับบทบาทของ Adenosine ในการสนับสนุนการทำงานและการซ่อมแซมเซลล์ผิว
คำแนะนำ: Repair Activator™ เป็นส่วนประกอบที่ดีที่สามารถใช้ร่วมกับ Adenosine ได้ โดยพิจารณาจากหน้าที่ในการสนับสนุนการซ่อมแซมผิว Peptides ต่อต้านริ้วรอยหลายชนิดก็เป็นส่วนเสริมที่ดีเยี่ยมในการเพิ่มประสิทธิภาพการลดริ้วรอยและความกระชับ
4. คำแนะนำในการเพิ่มลดสารที่จำเป็นและไม่จำเป็น
สูตรทดสอบปัจจุบันของคุณมีส่วนประกอบออกฤทธิ์ในความเข้มข้นสูง (ประมาณ 50% ไม่รวมน้ำและส่วนประกอบเบส) แม้ว่าการมุ่งเน้นประสิทธิภาพเป็นสิ่งที่ดี แต่ความเข้มข้นที่สูงเกินไปหรือสารออกฤทธิ์จำนวนมากเกินไปในสูตรเดียวอาจนำไปสู่:
- ปัญหาความเสถียร: ส่วนประกอบอาจทำปฏิกิริยาเชิงลบต่อกัน ทำให้เกิดการเสื่อมสภาพ การเปลี่ยนสี (เช่น สีน้ำตาลที่คุณสังเกตเห็น ซึ่งอาจเกิดจากการออกซิเดชันของ Green Tea Extract หรือปฏิกิริยาระหว่างส่วนประกอบ ซึ่งอาจรุนแรงขึ้นจากการขาด EDTA ตามที่แนะนำสำหรับ Perfect-C™) หรือการแยกชั้น
- ปัญหาเนื้อสัมผัส: ปริมาณของแข็งที่สูงอาจทำให้ผลิตภัณฑ์รู้สึกหนัก เหนียวเหนอะหนะ หรือเป็นขุยได้ง่าย ตามที่ระบุในความคิดเห็นที่คุณได้รับและประสบการณ์การทดสอบของคุณเอง
- ความเสี่ยงต่อการระคายเคืองที่เพิ่มขึ้น: การใช้สารออกฤทธิ์ในปริมาณมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารที่มีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิวหรือมีศักยภาพสูง อาจเพิ่มโอกาสที่ผิวจะไวต่อการระคายเคือง
- ประสิทธิภาพลดลง: ส่วนประกอบอาจรบกวนการซึมผ่านหรือการทำงานของกันและกันเมื่อรวมกันในความเข้มข้นสูง
ข้อควรพิจารณาเฉพาะสำหรับสูตรของคุณ:
- Perfect-C™ (Ascorbyl Tetraisopalmitate) และ Bisabolol: สารเหล่านี้ละลายในน้ำมัน ในสูตรเจลที่ใช้น้ำเป็นหลักและใช้ Pro Polymer เป็นสารก่อเจล สารเหล่านี้จะไม่ละลายในเฟสน้ำอย่างสมบูรณ์ แม้ว่าจะกระจายตัวอยู่ได้ แต่ความเสถียรและความสามารถในการซึมเข้าสู่ผิวจากระบบที่ใช้น้ำเป็นหลักอย่างเดียวจะลดลง ตามคำแนะนำในคำอธิบายผลิตภัณฑ์ Perfect-C™ ควรผสมในเฟสน้ำมันหรือ cream maker สำหรับเจล โดยทั่วไปคุณจะต้องใช้ solubilizer หรือระบบอิมัลชันที่ซับซ้อนกว่า (เช่น เจลครีม) เพื่อรวมส่วนประกอบที่ละลายในน้ำมันได้อย่างเหมาะสม ความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่ก็เน้นย้ำปัญหานี้เช่นกัน
- Beta Glucan: ตามที่เจ้าหน้าที่ระบุ Beta Glucan อาจทำให้เกิดกลิ่นและสีในความเข้มข้นสูง และอาจตกตะกอนในสูตรน้ำที่มีความหนืดต่ำ ความเข้มข้น 10% ของคุณสูงสำหรับเบสเจลที่ข้นด้วย Pro Polymer เพียง 1.5% คุณจะต้องใช้สารก่อเจลในความเข้มข้นที่สูงขึ้นหรือใช้เบสที่แตกต่างกันเพื่อให้ Beta Glucan กระจายตัวและคงตัวอยู่ได้
- Green Tea Extract EGCG: สารสกัดนี้อาจทำให้สูตรเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสัมผัสกับแสงหรืออากาศ หรือหากค่า pH ไม่เหมาะสม ความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่ก็กล่าวถึงเรื่องนี้เช่นกัน
- ปริมาณสารออกฤทธิ์รวมสูง: เปอร์เซ็นต์รวมของสารออกฤทธิ์ของคุณสูงมาก ซึ่งอาจมีส่วนทำให้เกิดเนื้อสัมผัสที่ข้นและอาจเหนียวเหนอะหนะที่คุณพบ และเพิ่มความเสี่ยงต่อความไม่เสถียรและการระคายเคือง
คำแนะนำในการปรับปรุง:
- ลดความเข้มข้นรวมของสารออกฤทธิ์: พิจารณาลดเปอร์เซ็นต์ของสารออกฤทธิ์บางตัว หรือเน้นสารออกฤทธิ์หลักจำนวนน้อยลงต่อสูตร ตัวอย่างเช่น คุณอาจสร้างสูตรแยกกันที่เน้นปัญหาที่แตกต่างกัน (เช่น สูตรหนึ่งสำหรับความกระจ่างใสและจุดด่างดำ อีกสูตรหนึ่งสำหรับปลอบประโลมและเสริมสร้างผิว)
- แก้ไขปัญหาการละลาย: หากคุณต้องการคงส่วนประกอบที่ละลายในน้ำมัน เช่น Perfect-C™ และ Bisabolol คุณต้องสร้างระบบที่สามารถรวมสารเหล่านี้ได้อย่างเหมาะสม เช่น อิมัลชัน (ครีมหรือโลชั่น) หรือเจลที่มี solubilizer ที่เหมาะสม เจลที่ใช้น้ำเป็นหลักอย่างเดียวกับ Pro Polymer ไม่เหมาะสำหรับส่วนประกอบเหล่านี้
- ปรับการใช้ Beta Glucan ให้เหมาะสม: หากยังคงใช้ Beta Glucan ในเปอร์เซ็นต์สูง ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเบสของคุณมีความหนืดเพียงพอที่จะช่วยให้กระจายตัวอยู่ได้ ตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ ระวังเรื่องสีและกลิ่นที่อาจเกิดขึ้น
- พิจารณาปฏิกิริยาระหว่างส่วนประกอบ: ระมัดระวังความไม่เข้ากันที่อาจเกิดขึ้น เช่น Perfect-C™ กับ Vitamin B3 (แม้ว่า Safe-B3™ จะมีความบริสุทธิ์สูงและมีแนวโน้มที่จะก่อปัญหาได้น้อยกว่า แต่ก็ยังเป็นข้อควรพิจารณา) หรือ Copper Peptide กับ EDTA
- จัดลำดับความสำคัญของสารออกฤทธิ์หลัก: เลือกส่วนประกอบที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับเป้าหมายหลักของคุณ (ความกระจ่างใส จุดด่างดำ การเสริมสร้างผิว) และใช้ในความเข้มข้นที่มีประสิทธิภาพตามที่แนะนำ
5. การเพิ่ม Peptides: ควรเลือกตัวไหนดี?
การเพิ่ม Peptides สามารถเพิ่มคุณสมบัติต่อต้านริ้วรอยและเสริมสร้างผิวของสูตรคุณได้อย่างมาก เมื่อพิจารณาจากเป้าหมายและส่วนประกอบที่คุณมีอยู่:
- สำหรับการลดริ้วรอยและกระตุ้นคอลลาเจน: Peptides เช่น Pep®-Coll (Palmitoyl Tripeptide-5) หรือ Matrixyl 3000 เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับการกระตุ้นคอลลาเจนและลดเลือนริ้วรอย Acetyl Hexapeptide-8 (Argireline) เป็นที่รู้จักในการลดริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์โดยการคลายกล้ามเนื้อ แต่ไม่ได้กระตุ้นคอลลาเจนเหมือน Pep®-Coll เนื่องจากคุณกล่าวถึงความต้องการเสริมสร้างผิว Peptides ที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและส่วนประกอบ extracellular matrix จะเป็นประโยชน์
- สำหรับการซ่อมแซมและเสริมสร้างผิว: Copper Peptide (GHK-Cu) เป็นที่รู้จักอย่างดีในด้านคุณสมบัติการสมานแผลและการซ่อมแซมผิว ซึ่งสามารถช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวและปรับปรุงสุขภาพผิวโดยรวม Repair Activator™ (Bifida Ferment Lysate) ซึ่งทำงานได้ดีกับ Adenosine ก็จัดอยู่ในกลุ่มที่สนับสนุนกลไกการซ่อมแซมผิวเช่นกัน
- สำหรับการทำให้ผิวกระจ่างใส (เน้น Peptide): Pep-Even™ (Tetrapeptide-30) เป็น Peptide ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อแก้ไขปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอและจุดด่างดำโดยการยับยั้งการถ่ายโอนเม็ดสี
คำแนะนำ: เพื่อเสริมสูตรที่คุณมีอยู่และเน้นการเสริมสร้างผิวและอาจช่วยลดริ้วรอยและจุดด่างดำเพิ่มเติม พิจารณาเพิ่ม Pep®-Coll (Palmitoyl Tripeptide-5) เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนและลดริ้วรอย หรือ Copper Peptide (GHK-Cu) เพื่อการซ่อมแซมและเสริมสร้างผิวโดยรวม หากเป้าหมายหลักของ Peptide คือความกระจ่างใส Pep-Even™ (Tetrapeptide-30) จะเหมาะสม อย่าลืมตรวจสอบความเข้ากันได้และอัตราการใช้ที่แนะนำสำหรับ Peptide ที่คุณเลือก ตรวจสอบให้แน่ใจว่าค่า pH ของสูตรเหมาะสมกับ Peptide ที่เลือก (เช่น Copper Peptide ต้องการค่า pH 4.5-7.4)
โดยสรุป แม้ว่าสูตรทดสอบของคุณจะมีส่วนประกอบที่เป็นประโยชน์หลายอย่าง แต่ความเข้มข้นรวมที่สูงและปัญหาการละลาย/ความเสถียรที่อาจเกิดขึ้นกับส่วนประกอบที่ละลายในน้ำมันในเบสเจลแบบง่ายๆ เป็นความท้าทายที่สำคัญ พิจารณาปรับสูตรให้เรียบง่ายขึ้น แก้ไขปัญหาการละลายของสารออกฤทธิ์ที่ละลายในน้ำมัน และปรับความเข้มข้นและความเข้ากันได้ของส่วนประกอบที่คุณเลือกเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่คุณต้องการอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Acetyl Hexapeptide-8 (eq Argireline)

Pep®-Coll (Palmitoyl tripeptide-5)

Alpha Arbutin (Switzerland)

Licorice Extract (Licochalcone A 1%, Water-Soluble)

Safe-B3™ (Vitamin B3, Niacinamide)

Allantoin

Natural Bisabolol (Brazil Chamomile)

GlucoBright™ (Acetyl Glucosamine)

Phenoxyethanol (Extra Pure)

Beta Glucan (Saccharomyces cerevisiae extract)

Azelaic Acid (Liquid Azelaic™)

Pro Polymer™ (Gel Maker)

Perfect-C™ (Ascorbyl Tetraisopalmitate)

MatteSilica 5™ (5 Micron)

Tranexamic Acid (Trans-White™)

Pure-Adenosine™

Pure-EGCG™ (Green Tea Extract, 98% EGCG)
