คำแนะนำการพัฒนาสูตรเอสเซนส์ที่มีสารแอคทีฟหลายชนิดและการป้องกันริ้วรอย
คำถาม
กำลังพัฒนาสูตรเอสเซนส์ที่มีสารแอคทีฟหลายชนิด และมีคำถามหลักสองข้อครับ
การเลือกเบสและการพัฒนาสูตร: ผมมีรายการสารแอคทีฟที่ต้องการใส่ดังนี้:
- Matrixyl 3000 5%
- Alpha Arbutin 2%
- Tranexamic Acid 3%
- VIT B3 4%
- Glucosamine 4%
- Soy Extract 5%
- Aloe Vera 3%
- Green Tea Extract 5%
- Centella Asiatica Extract 5%
- Calendura Extract 2%
ตอนแรกคิดว่าจะนำส่วนผสมเหล่านี้ไปผสมในเบสโทนเนอร์สำเร็จรูป สามารถทำได้หรือไม่ หรือควรใช้น้ำกลั่นเป็นเบสจะดีกว่าครับ
ถ้าใช้น้ำกลั่นเป็นเบส จะทำอย่างไรให้ได้เนื้อสัมผัสแบบเอสเซนส์ที่บางเบา ซึมเร็ว โดยใช้สารสร้างเนื้อเจลแบบน้ำ 0.25% ครับ จำเป็นต้องใส่สารกันเสียไหมครับ และควรใช้ในปริมาณเท่าไหร่
สารป้องกันริ้วรอย (อายุ 22 ปี): ผมอายุ 22 ปี ต้องการใช้สารป้องกันริ้วรอย ควรใช้ตัวไหนดีครับ กำลังพิจารณา Pep®-Coll, Matrixyl™ 3000, และ Metabiotics Resveratrol แต่ละตัวมีข้อดีในการป้องกันอย่างไร และตัวไหนน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดครับ
คำตอบ
คำแนะนำและข้อเสนอแนะสำหรับสูตร
ขอบคุณที่แบ่งปันคำถามเกี่ยวกับสูตรอย่างละเอียดและการพูดคุยก่อนหน้านี้ค่ะ เป็นเรื่องที่ดีมากที่คุณกำลังทดลองและขอคำแนะนำเพื่อปรับปรุงสูตรเอสเซนส์ของคุณ
ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับสูตรของคุณ
การใช้เบสโทนเนอร์สำเร็จรูป: ตามคำแนะนำก่อนหน้านี้ การเพิ่มส่วนผสมแอคทีฟจำนวนมาก (เกือบ 10 ชนิด) ลงในผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป เช่น เบสโทนเนอร์ โดยทั่วไปไม่แนะนำค่ะ ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปถูกคิดค้นสูตรมาเพื่อให้มีความเสถียรและประสิทธิภาพกับส่วนผสมที่มีอยู่แล้ว การเพิ่มส่วนประกอบใหม่จำนวนมากอาจทำให้สมดุลเสียไป ซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่เสถียร (การแยกชั้น, สีเปลี่ยน), ประสิทธิภาพของสารแอคทีฟลดลง (เนื่องจากความไม่เข้ากันหรือค่า pH ไม่ถูกต้อง), และเนื้อสัมผัสที่ไม่พึงประสงค์ (เหนียวเหนอะหนะ). แม้ว่าการเพิ่มส่วนผสมที่เข้ากันได้หนึ่งหรือสองชนิดอาจเป็นไปได้ แต่การใส่สารแอคทีฟในเปอร์เซ็นต์และความหลากหลายที่สูงขนาดนี้ไม่น่าจะทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเสถียรและน่าใช้ค่ะ
การใช้น้ำกลั่นเป็นเบส: การใช้น้ำกลั่นเป็นเบสจะช่วยให้คุณมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการใส่ส่วนผสมแอคทีฟที่คุณต้องการและควบคุมคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายได้ดีกว่าค่ะ
เนื้อสัมผัส: ด้วยสารสร้างเนื้อเจลแบบน้ำ 0.25% สูตรน่าจะมีเนื้อเหลวมาก คล้ายน้ำ หากต้องการเนื้อสัมผัสที่ข้นขึ้นเล็กน้อยแบบเอสเซนส์ที่ยังคงบางเบาและซึมเร็ว คุณจะต้องเพิ่มความเข้มข้นของสารสร้างเนื้อเจล คุณสามารถเริ่มลองที่ 0.5% และค่อยๆ เพิ่มขึ้น พร้อมทดสอบเนื้อสัมผัสจนกว่าจะได้ความหนืดที่ต้องการ โปรดจำไว้ว่าสารสร้างเนื้อเจลจากธรรมชาติบางชนิดอาจให้ความรู้สึกเหนียวเล็กน้อยเมื่อใช้ในความเข้มข้นสูง หากคุณต้องการความรู้สึกบางเบาและเนียนนุ่มที่ซึมเร็ว การผสมซิลิโคน เช่น Cyclomethicone กับสารประสานที่เหมาะสม เช่น Warp Cream Maker ตามที่ได้มีการแนะนำในการพูดคุย เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการสร้างอิมัลชันแบบ Water-in-Silicone ที่ให้ความรู้สึกเรียบเนียน ไม่เหนอะหนะ
สารกันเสีย: เมื่อใช้น้ำกลั่นเป็นเบส การใส่สารกันเสียเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ Phenoxyethanol เป็นสารกันเสียที่นิยมใช้และมีประสิทธิภาพ การใช้ที่ความเข้มข้น 1% เป็นคำแนะนำมาตรฐานสำหรับสูตรเครื่องสำอางหลายชนิด ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณใส่ในขั้นตอนและอุณหภูมิที่เหมาะสมตามคำแนะนำของผู้จำหน่าย (โดยทั่วไปคือต่ำกว่า 80°C หรือ 60°C ขึ้นอยู่กับชนิด เช่น Phenoxyethanol SA) ขอแนะนำอย่างยิ่งให้ทำการทดสอบ Challenge Test กับสูตรขั้นสุดท้ายของคุณเพื่อยืนยันว่าระบบสารกันเสียมีประสิทธิภาพเพียงพอ
เปอร์เซ็นต์ส่วนผสม: เปอร์เซ็นต์ของสารแอคทีฟที่คุณระบุ (Matrixyl 3000 5%, Alpha Arbutin 2%, Tranexamic Acid 3%, VIT B3 4%, Glucosamine 4%, Soy Extract 5%, Aloe Vera 3%, Green Tea Extract 5%, Centella Asiatica Extract 5%, Calendura Extract 2%) โดยทั่วไปอยู่ในช่วงอัตราการใช้ที่แนะนำสำหรับส่วนผสมเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม การรวมสารสกัดความเข้มข้นสูงจำนวนมากขนาดนี้เข้าด้วยกัน อาจยังคงทำให้รู้สึกหนักหรือเหนียวเหนอะหนะได้ โดยเฉพาะ Soy Extract ที่ 5% คุณอาจต้องทดลองและอาจลดความเข้มข้นของสารสกัดบางชนิด หรือเลือกใช้เกรดที่เข้มข้นกว่าซึ่งใช้ในเปอร์เซ็นต์ที่ต่ำกว่า เพื่อปรับปรุงเนื้อสัมผัสในขณะที่ยังคงประสิทธิภาพไว้
ข้อควรพิจารณาเรื่องค่า pH
การวัดและปรับค่า pH เป็นขั้นตอนสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างสูตรของคุณเองที่มีเบสเป็นน้ำ ค่า pH มีผลต่อ:
- ความเสถียรและประสิทธิภาพของส่วนผสม: สารแอคทีฟหลายชนิด รวมถึง Alpha Arbutin, Vitamin B3, และ Tranexamic Acid มีช่วงค่า pH ที่เหมาะสมสำหรับความเสถียรและประสิทธิภาพสูงสุด ตัวอย่างเช่น Alpha Arbutin ควรอยู่ในสูตรที่มีค่า pH ระหว่าง 3.5-6.5 (ไม่ควรเกิน 8) Vitamin B3 ทำงานได้ดีที่สุดในช่วง pH 4.0-7.0 Tranexamic Acid เสถียรในช่วง pH 3-8 การทำให้แน่ใจว่าค่า pH สุดท้ายของคุณอยู่ในช่วงที่เหมาะสมสำหรับสารแอคทีฟหลักของคุณเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของคุณทำงานได้ตามที่ตั้งใจไว้
- ประสิทธิภาพของสารกันเสีย: สารกันเสียบางชนิดมีประสิทธิภาพมากขึ้นที่ค่า pH บางระดับ
- ความเข้ากันได้กับผิว: ค่า pH ของผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายที่สูงหรือต่ำเกินไปอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวได้ ค่า pH ที่เป็นกรดเล็กน้อย (ประมาณ 4.5-6.0) โดยทั่วไปถือว่าอ่อนโยนต่อผิว
คุณควรวัดค่า pH ของสูตรหลังจากใส่ส่วนผสมที่ละลายน้ำได้ทั้งหมดแล้ว และก่อนใส่ส่วนผสมที่ไวต่อค่า pH เช่น สารสร้างเนื้อเจลบางชนิด หรือสารกันเสียบางชนิด ปรับค่า pH โดยใช้กรดเจือจาง (เช่น สารละลาย Citric Acid) หรือเบส (เช่น สารละลาย Sodium Hydroxide) ตามความจำเป็น จากนั้นจึงใส่ส่วนผสมที่เหลือ
การป้องกันริ้วรอย (อายุ 22 ปี)
สำหรับการป้องกันริ้วรอยเมื่ออายุ 22 ปี การให้ความสำคัญกับสุขภาพผิว ความชุ่มชื้น และการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเป็นประโยชน์ ส่วนผสมที่คุณกล่าวถึง:
- Pep®-Coll (Palmitoyl tripeptide-5): เปปไทด์นี้ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและมีการวิจัยที่แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการลดริ้วรอย ทำงานโดยเลียนแบบกลไกธรรมชาติของผิวในการเพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจน
- Matrixyl™ 3000 (Pal-GHK, Pal-GQPR): เปปไทด์ผสมนี้ยังช่วยกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจนและช่วยปรับปรุงความยืดหยุ่นของผิว มีการระบุเป็นพิเศษว่าเหมาะสำหรับการป้องกันและชะลอการเกิดริ้วรอยแม้ว่าจะยังไม่ปรากฏก็ตาม
- Metabiotics Resveratrol (Trans-Resveratrol): Resveratrol เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง และยังมีคุณสมบัติในการต่อต้านริ้วรอย รวมถึงการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และการป้องกันความเสียหายจากรังสี UV และการอักเสบ
ส่วนผสมทั้งสามชนิดมีประโยชน์ในการป้องกันสัญญาณแห่งวัยโดยการสนับสนุนคอลลาเจนและสุขภาพผิวโดยรวม ตามที่แนะนำก่อนหน้านี้ หากคุณกำลังมองหาตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพสำหรับการป้องกันและพิจารณาเรื่องค่าใช้จ่าย การเริ่มต้นด้วยเปปไทด์ที่มีการวิจัยรองรับ เช่น Matrixyl 3000 หรือ Pep®-Coll (ทั้งคู่เป็นเปปไทด์ที่กระตุ้นคอลลาเจน) อาจเป็นแนวทางที่ดี Matrixyl 3000 มีการกล่าวถึงโดยเฉพาะว่าเหมาะสำหรับการป้องกัน ส่วน Metabiotics Resveratrol ให้การปกป้องจากอนุมูลอิสระที่กว้างขึ้น ซึ่งมีคุณค่าเช่นกันในการป้องกันความเสียหายที่เกี่ยวข้องกับอายุ
ตัวเลือกที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับลำดับความสำคัญเฉพาะของคุณ (เช่น เน้นการกระตุ้นคอลลาเจนอย่างเดียวเทียบกับการได้รับประโยชน์จากสารต้านอนุมูลอิสระที่กว้างขึ้น) และงบประมาณของคุณ คุณอาจพิจารณาใช้ร่วมกันหรือสลับกันในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้
สรุปแล้ว แม้ว่าแนวคิดเริ่มต้นในการเพิ่มสารแอคทีฟลงในเบสสำเร็จรูปจะไม่แนะนำ แต่การสร้างสูตรจากศูนย์ด้วยน้ำกลั่นจะช่วยให้ควบคุมได้ดีกว่า ให้ความสำคัญกับความเข้มข้นของสารสร้างเนื้อเจลเพื่อให้ได้เนื้อสัมผัสที่ต้องการ ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีการใส่สารกันเสียที่เพียงพอ และวัดและปรับค่า pH เสมอเพื่อความเสถียร ประสิทธิภาพ และความเข้ากันได้กับผิว สำหรับการป้องกันริ้วรอย เปปไทด์ เช่น Matrixyl 3000 หรือ Pep®-Coll และสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น Metabiotics Resveratrol เป็นตัวเลือกที่ดีที่ควรพิจารณา
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Pep®-Coll (Palmitoyl tripeptide-5)

Pal-GHK, Pal-GQPR (eq Matrixyl 3000)

Alpha Arbutin (Switzerland)

Safe-B3™ (Vitamin B3, Niacinamide)

Aloe Vera Extract (อัตราสกัด 10:1 FullAssay™)

GlucoBright™ (Acetyl Glucosamine)

Calendula Extract (Water Soluble)

Phenoxyethanol (Extra Pure)

Cyclopentasiloxane (Low-Odor Cyclomethicone)

Warp Cream Maker™ (e.q. Nikkomulese wo)

Hi-EGCG™ (Green Tea Extract)

ThixoGel™ (Thixotropic Gel Maker)

Centella Asiatica Extract (Madecassoside 90%)

Tranexamic Acid (Trans-White™)
