คำแนะนำการพัฒนาสูตรโลชั่น: สำหรับผิวมัน ขาดน้ำ มีปัญหาริ้วรอย รอยแผลเป็น และการดูแลหลังทำ E-Matrix
คำถาม
ต้องการพัฒนาสูตรโลชั่น โดยใช้ เบสเจลว่านหางจระเข้ 120 กรัม และต้องการเพิ่มส่วนผสมต่อไปนี้อย่างละ 5 กรัม:
- Resveratrol
- Matrixyl™ 3000
- Pep®-Coll
- Tego® Pep 4-17
- Apple Stem Cell Extract
- Vitamin B3
- Beta Glucan
- Licorice Extract
- Centella Asiatica
- Pepha®-Tight
และต้องการเพิ่ม Squalane ด้วยค่ะ สภาพผิวของดิฉันเป็นผิวมัน ขาดน้ำ มีปัญหาริ้วรอย รอยแผลเป็นจากสิว และผิวสูงอายุโดยทั่วไป และวางแผนว่าจะใช้ผลิตภัณฑ์นี้หลังจากการทำหัตถการ e-matrix ด้วยค่ะ
มีคำถามดังนี้ค่ะ:
- ด้วยรายการส่วนผสมและปริมาณเท่านี้ เนื้อสัมผัสจะมีความเหนอะหนะหรือหนักผิวเกินไปสำหรับผิวมันหรือไม่คะ?
- การรวมส่วนผสมทั้งหมดนี้ในปริมาณดังกล่าวจะทำให้เกิดปัญหาด้านความเสถียรหรือไม่คะ?
- ควรแยกสูตรนี้ออกเป็น 2 ขวด (เช่น ใช้เช้า 1 ขวด เย็น 1 ขวด) จะดีกว่าไหมคะ?
- Squalane สามารถเติมลงในเบสเจลว่านหางจระเข้ได้หรือไม่ และเหมาะสมกับผิวมันไหมคะ?
- สูตรนี้เหมาะสมที่จะใช้หลังจากการทำหัตถการ e-matrix หรือไม่ และมีข้อควรพิจารณาพิเศษสำหรับการใช้หลังทำหัตถการไหมคะ?
คำตอบ
คำแนะนำการทำโลชั่นสำหรับผิวผสม ขาดน้ำ มีปัญหาริ้วรอย และรอยแผลเป็นจากสิว
ขอบคุณที่สอบถามเกี่ยวกับแผนการทำโลชั่นของคุณนะคะ เป็นเรื่องที่ดีมากที่คุณเน้นส่วนผสมที่ช่วยเรื่องการสร้างคอลลาเจนและดูแลปัญหาผิวเฉพาะของคุณ (ผิวมัน ขาดน้ำ ริ้วรอย สิว และรอยแผลเป็น)
มาดูสูตรที่คุณเสนอและตอบคำถามของคุณกันค่ะ:
ความซับซ้อนของสูตรและความเข้มข้นของส่วนผสม
รายการส่วนผสมของคุณมีสารออกฤทธิ์ที่ดีหลายชนิดที่ดูแลปัญหาผิวที่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม การใส่ส่วนผสมหลายตัวในปริมาณตัวละ 5 กรัม ลงในเบสเจลว่านหางจระเข้ 120 กรัม จะทำให้ความเข้มข้นรวมสูงมาก (เช่น 5 กรัม ในปริมาณรวมประมาณ 125 กรัม คิดเป็น 4% ดังนั้น หากใส่ 10 ตัว ตัวละ 5 กรัม ในเบส 120 กรัม จะมีสารออกฤทธิ์รวม 50 กรัม ในปริมาณรวม 170 กรัม คิดเป็นเกือบ 30% ซึ่งสูงมากเมื่อเทียบกับสูตรทั่วไป) ความเข้มข้นรวมที่สูงนี้อาจนำไปสู่ปัญหาได้ ดังนี้:
- เนื้อสัมผัส: โลชั่นอาจมีความเหนอะหนะ หนักผิว หรือเกลี่ยยาก ซึ่งไม่เหมาะกับสภาพผิวมัน
- ความเสถียร: ความเข้มข้นสูงและส่วนผสมออกฤทธิ์หลายชนิดบางครั้งอาจส่งผลต่อความเสถียรและอายุการเก็บรักษาของผลิตภัณฑ์ได้
- การระคายเคืองผิว: การใช้สารออกฤทธิ์หลายชนิดที่มีความเข้มข้นสูงพร้อมกันอาจเพิ่มความเสี่ยงในการระคายเคือง โดยเฉพาะผิวที่เป็นสิวง่าย หรือเพิ่งผ่านการทำทรีตเมนต์อย่าง e-matrix
โดยทั่วไป แนะนำให้ใช้ส่วนผสมตามอัตราส่วนที่แนะนำสำหรับแต่ละตัว ซึ่งมักจะระบุเป็นเปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักรวมของสูตรทั้งหมด ความเข้มข้นรวมของสารออกฤทธิ์ทั้งหมดประมาณ 10-20% เป็นเรื่องปกติสำหรับเซรั่มหรือโลชั่น
การเลือกส่วนผสมและการปรับเปลี่ยน
ตามสภาพผิวของคุณและคำแนะนำเดิมจากเจ้าหน้าที่:
- Resveratrol: ตามที่เจ้าหน้าที่แจ้ง Resveratrol บางครั้งอาจให้ความรู้สึกเหนอะหนะหรือไม่สบายผิว สำหรับผิวมัน แนะนำให้ตัดออก หรือหากต้องการใช้จริงๆ ควรใช้ในความเข้มข้นที่ต่ำมากและอาจแยกทำเป็นอีกสูตรที่เนื้อบางเบา
- Pepha®-Tight: คำแนะนำของเจ้าหน้าที่ให้เริ่มที่ 1% ถือว่าเหมาะสม การใช้ที่ระดับ 4-5% อาจทำให้รู้สึกตึงผิวมากเกินไปจนไม่สบายผิวได้
- สารออกฤทธิ์อื่นๆ: Matrixyl™ 3000, Pep®-Coll, Tego® Pep 4-17, Apple Stem Cell Extract, Vitamin B3, Beta Glucan, Licorice Extract และ Centella Asiatica เป็นส่วนผสมที่ดีทั้งหมดสำหรับปัญหาผิวของคุณ (ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ให้ความชุ่มชื้น ปลอบประโลม ลดการอักเสบ ลดสิว และช่วยเรื่องรอยแผลเป็น) ส่วนผสมเหล่านี้โดยทั่วไปเข้ากันได้ดีในเบสที่เป็นน้ำอย่างเจลว่านหางจระเข้ อย่างไรก็ตาม ควรควบคุมความเข้มข้นรวมของสารออกฤทธิ์ทั้งหมดให้อยู่ในระดับที่ให้เนื้อสัมผัสที่สบายผิวสำหรับผิวมัน
ควรแยกเป็น 2 ขวดหรือไม่?
การแยกสูตรเป็น 2 ขวดอาจเป็นความคิดที่ดี หากคุณต้องการเน้นการดูแลปัญหาเฉพาะจุดมากขึ้น หรือหากสูตรที่รวมกันมีเนื้อหนักเกินไปหรือไม่เสถียร ตัวอย่างเช่น:
- ขวดที่ 1 (เช้า): เน้นความชุ่มชื้น ควบคุมความมัน และปกป้องผิว (เช่น เบสเจลว่านหางจระเข้, Vitamin B3, Beta Glucan, Licorice, Centella)
- ขวดที่ 2 (เย็น): เน้นการกระตุ้นคอลลาเจนและฟื้นฟูผิว (เช่น เบสเจลว่านหางจระเข้, Peptides เช่น Matrixyl 3000, Pep-Coll, Tego Pep 4-17, Apple Stem Cell Extract, Beta Glucan, Centella)
อีกทางเลือกคือ คุณสามารถทำเป็นสูตรเดียวได้ แต่จะต้องปรับลดเปอร์เซ็นต์ของสารออกฤทธิ์แต่ละตัวอย่างระมัดระวัง เพื่อให้ได้เนื้อสัมผัสที่เหมาะสมกับผิวมันและคงความเสถียรได้ สิ่งสำคัญคือต้องคำนวณเปอร์เซ็นต์โดยคิดจากน้ำหนัก รวมทั้งหมด ของผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ไม่ใช่แค่การเติมเป็นกรัมลงในเบส
การใส่ Squalane
ตามที่เจ้าหน้าที่ได้แนะนำไว้ Squalane เป็นน้ำมัน การเติมลงในเบสเจลว่านหางจระเข้ซึ่งเป็นเบสที่เป็นน้ำ จะต้องใช้ Emulsifier เพื่อทำให้เข้ากันเป็นเนื้อโลชั่นหรือครีมที่คงตัวได้ สำหรับผิวมัน การใส่น้ำมันอย่าง Squalane อาจทำให้ผลิตภัณฑ์รู้สึกหนักหรือมันเยิ้มเกินไป หากคุณต้องการใช้ Squalane จะเหมาะกับสูตรที่เป็นครีมมากกว่า หรือใช้เป็นผลิตภัณฑ์ออยล์แยกต่างหากในปริมาณน้อยๆ
การใช้หลังทำ E-Matrix
ส่วนผสมที่คุณเลือก โดยเฉพาะ Beta Glucan, Centella Asiatica, Vitamin B3 และ Peptides มีคุณสมบัติช่วยปลอบประโลม ให้ความชุ่มชื้น และช่วยฟื้นฟูผิว ซึ่งอาจเป็นประโยชน์หลังจากการทำทรีตเมนต์อย่าง e-matrix อย่างไรก็ตาม ผิวจะมีความบอบบางมากหลังทำหัตถการ สิ่งสำคัญคือต้อง:
- รอให้ผิวฟื้นตัวในระยะแรก: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผิวไม่ได้มีอาการแดง ระคายเคือง หรือลอกแล้ว ก่อนจะเริ่มใช้สารออกฤทธิ์ต่างๆ
- เริ่มด้วยสูตรที่เรียบง่ายและช่วยปลอบประโลมผิว: หลังทำ e-matrix ทันที ควรเน้นส่วนผสมที่ให้ความชุ่มชื้นและปลอบประโลมผิว หลีกเลี่ยงสารออกฤทธิ์หลายตัวหรือความเข้มข้นสูง
- ค่อยๆ เริ่มใช้โลชั่นที่ทำขึ้น: เมื่อผิวฟื้นตัวดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแล้ว คุณสามารถค่อยๆ เริ่มใช้โลชั่นที่คุณทำขึ้น โดยอาจลองทาในบริเวณเล็กๆ ก่อน เพื่อดูว่าผิวมีปฏิกิริยาอย่างไร
- พิจารณาใช้ความเข้มข้นที่ต่ำลง: ผิวหลังทำทรีตเมนต์อาจทนต่อสารออกฤทธิ์ในความเข้มข้นที่ต่ำกว่าได้ดีกว่า
สรุปคือ แม้ว่าการเลือกส่วนผสมของคุณจะดีสำหรับการดูแลปัญหาผิว แต่ปริมาณที่คุณเสนอมาอาจสูงเกินไปสำหรับโลชั่นเนื้อบางเบาในขวดเดียวที่เหมาะกับผิวมัน ลองพิจารณาปรับลดความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์แต่ละตัวตามอัตราส่วนที่แนะนำ (คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักรวมทั้งสูตร) และอาจแยกทำเป็นคนละสูตร หรือตัดส่วนผสมบางตัวเช่น Resveratrol และ Squalane ออก เพื่อให้ได้เนื้อสัมผัสที่เหมาะสมกับผิวมัน และควรเริ่มใช้สูตรใหม่ด้วยความระมัดระวังเสมอ โดยเฉพาะหลังจากการทำทรีตเมนต์ผิวค่ะ
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Pep®-Coll (Palmitoyl tripeptide-5)

Pal-GHK, Pal-GQPR (eq Matrixyl 3000)

Licorice Extract (Licochalcone A 1%, Water-Soluble)

Safe-B3™ (Vitamin B3, Niacinamide)

Squalane (Olive)

Beta Glucan (Saccharomyces cerevisiae extract)

Centella Asiatica Extract (Madecassoside 90%)
