คำแนะนำการพัฒนาสูตร: เซรั่มวิตามินซี, เซรั่มลดริ้วรอย, ชนิดน้ำ, และความเข้ากันได้ของส่วนผสม
คำถาม
ฉันมีคำถามเกี่ยวกับการพัฒนาสูตรเครื่องสำอาง โดยอิงจากประสบการณ์และสูตรเซรั่มที่ฉันเสนอค่ะ:
- อาการจากผลิตภัณฑ์ Tester: ก่อนหน้านี้ฉันเคยใช้ Tester Gel และหลังจากหยุดใช้ไปช่วงหนึ่งแล้วกลับมาใช้ใหม่ ก็มีสิวอักเสบขึ้นค่ะ ผลิตภัณฑ์ไม่ได้แช่เย็นและสัมผัสความร้อน อาการนี้อาจเกิดจากการเสื่อมสภาพของส่วนผสม การปนเปื้อนของจุลินทรีย์ หรือการเปลี่ยนแปลงความไวของผิวได้หรือไม่คะ?
- เนื้อผลิตภัณฑ์เหลวเหมือนน้ำ: ฉันลองผสมสารที่ละลายน้ำหลายตัวในน้ำ โดยคาดหวังว่าเนื้อจะข้นขึ้นเอง แต่ก็ยังคงเหลวเหมือนน้ำเปล่า ทาแล้วรู้สึกไม่เพียงพอ เป็นบทเรียนว่าต้องใช้สารสร้างเนื้อค่ะ ปกติแล้วต้องใช้ Xanthan Gum หรือ Pro Polymer ประมาณกี่เปอร์เซ็นต์เพื่อให้ได้เนื้อเจล/เซรั่มที่ข้นขึ้นเล็กน้อยคะ?
- ชนิดของน้ำ (น้ำกลั่น vs. น้ำ Deionized) และ EDTA: ฉันไม่สามารถหาน้ำกลั่น (Distilled Water) ที่ปลอดภัยได้ จึงไปที่ร้านขายอุปกรณ์ทางการแพทย์ขนาดใหญ่และพบ Deionized Water ยี่ห้อ RCI Labscan (ประมาณ 4 ลิตร ราคา 200 กว่าบาท) คนขายซึ่งเรียนเภสัชกรรมแจ้งว่าคือน้ำที่ถูกทำลายประจุ ภาชนะบรรจุซีลอย่างดี ดูสะอาดและปลอดภัย มันคือน้ำชนิดเดียวกันหรือใช้แทนน้ำกลั่นได้ไหมคะ? ถ้าใช้แทนได้ ก็ไม่จำเป็นต้องเติม EDTA (Disodium EDTA) ในน้ำแล้วใช่ไหมคะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสูตร Copper-Peptide ที่ห้ามมี EDTA เด็ดขาด?
การวิเคราะห์สูตร Serum Vitamin C E Ferulic: ฉันได้ดัดแปลงสูตร Serum Vitamin C E Ferulic และอยากให้ช่วยตรวจสอบสูตรที่เสนอมาดังนี้ค่ะ:
- ส่วนผสมกลุ่ม A:
- Water 41.2 g.
- TEA 2.5 g.
- Zinc PCA 0.5 g.
- EDTA 0.2 g.
- Water Lock 2 g. (ข้อมูลแจ้งว่าทำงานได้ดีในช่วง PH 3-8 น่าจะทนความเป็นกรดของ VIT C ได้)
- Feluric Acid 0.5 g.
- Alpha Bisabol 1 g.(ข้อมูลแจ้งว่าเป็นน้ำมันเหลว ทำงานได้ดีในช่วง PH 3-11 ต้องการใส่แทน B5 ได้ไหมคะ?)
- ส่วนผสมกลุ่ม B:
- Ethexydiglycol 20 g.
- Bytylene Glycol 10 g. (ใส่แทน Propylene Glycol)
- Glycerin 3 g.
- Laureth-23 3 g. (ตัวทำ emulsifier ใช้ตัวอื่นแทนได้ไหมคะ? สงสัยว่าตัวเองอาจเคยแพ้ตัวนี้ แต่ถ้าสูตรต้นตำรับอย่าง skinceutical ต้องใช้ตัวนี้เท่านั้นจึงจะทำให้ VIT C ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพก็ไม่เป็นไรค่ะ)
- ส่วนผสมกลุ่ม C:
- L-Ascorbic Acid 15 g.
- ส่วนผสมกลุ่ม D:
- Hyaluronic Acid Nano 0.1 g.
- Xanthan Gum 1 g.
สูตรนี้จำเป็นต้องใส่สารกันเสียไหมคะ? ตั้งใจว่าจะผสมใช้ทีละไม่มากและแช่ตู้เย็นตลอดค่ะ มีสารตัวไหนที่สมควรเพิ่มหรือตัดออกช่วยแนะนำด้วยค่ะ โดยเฉพาะส่วนผสมที่ 6 และ 7 ควรนำไปละลายรวมกับกลุ่ม B ใช่หรือไม่คะ?
- ส่วนผสมกลุ่ม A:
การวิเคราะห์สูตร Serum Anti-Aging + Whitening: ฉันตั้งใจจะสั่งสารมาผสมเพิ่มเติมเป็นสูตร Serum Anti-Aging + Whitening ดังนี้ (สมมติว่าเป็นเปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนัก):
- Water 57.9%
- Repair Activator 8 %
- Copper-Peptide 3 %
- Alpha Arbutin 2%
- Beta Glucan 3%
- EGCG 3%
- Gotu Kola 3%
- Ceramide 3%
- Hydro Protien 3%
- B3 3%
- NAG 3%
- Water Lock 2% (เหลือจาก Serum Vit C)
- Hyaluronic Acid Nano 0.1% (เหลือจาก Serum Vit C)
- Bytylene Glyco 5%
- Xanthan Gum 1%
สารเยอะเกินไปไหมคะ? มีสารตัวใดที่ต้องปรับค่า PH ไหมคะ? ควรตัดหรือลดปริมาณสารตัวใดดีคะ? ตั้งใจจะทำไว้ทาทั้งก่อนนอนและก่อนแต่งหน้าตอนเช้าค่ะ
- สถานะสต็อกสินค้า: Ceramide (Cerasoft™) และ Zinc PCA มีสต็อกพร้อมจำหน่ายหรือไม่คะ?
คำตอบ
คำแนะนำการผสมและคำถามเกี่ยวกับส่วนผสม
ขอบคุณที่แบ่งปันประสบการณ์และคำถามเกี่ยวกับการผสมอย่างละเอียดค่ะ นี่คือคำตอบสำหรับแต่ละประเด็นที่คุณสอบถามมาค่ะ:
อาการแพ้จากผลิตภัณฑ์ Tester
อาการแพ้ (สิวอักเสบ) ที่เกิดขึ้นหลังจากหยุดใช้และกลับมาใช้ Tester Gel อีกครั้ง อาจเกิดจากหลายปัจจัยค่ะ:
- ความไม่เสถียรของส่วนผสม: ส่วนผสมบางอย่างอาจเสื่อมสภาพเมื่อเวลาผ่านไป โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสกับความร้อนหรืออากาศ ซึ่งอาจทำให้เกิดสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ แม้จะมีสารกันเสีย แต่ก็ไม่ได้รับประกันความเสถียรตลอดไป โดยเฉพาะหากเก็บรักษาไม่ตรงตามคำแนะนำ (เช่น การแช่เย็นสำหรับส่วนผสมบางชนิด)
- การปนเปื้อนของจุลินทรีย์: ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลักเสี่ยงต่อการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ (แบคทีเรีย เชื้อรา ยีสต์) หากเก็บรักษาไม่ถูกต้องหรือมีการปนเปื้อนระหว่างใช้งาน อุณหภูมิที่ร้อนจะเร่งการเติบโตนี้ แม้จะมีสารกันเสีย แต่ก็ยังสามารถเกิดการปนเปื้อนได้ โดยเฉพาะหากไม่ได้หยิบใช้ด้วยความสะอาด
- การเปลี่ยนแปลงสภาพผิว: สภาพผิวและความไวต่อการกระตุ้นของคุณสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามปัจจัยต่างๆ เช่น สภาพแวดล้อม (ความร้อน) ความเครียด อาหาร หรือการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน สิ่งที่เคยใช้แล้วไม่แพ้ อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ภายใต้สภาวะที่แตกต่างกัน
การเก็บรักษาที่เหมาะสม โดยเฉพาะการแช่เย็นสำหรับสูตรที่ไวต่ออุณหภูมิ เป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความเสถียรของผลิตภัณฑ์และป้องกันการปนเปื้อนค่ะ
เนื้อผลิตภัณฑ์เหลวเหมือนน้ำ
ถูกต้องค่ะ การผสมส่วนผสมที่ละลายน้ำได้ทั้งหมดในน้ำเพียงอย่างเดียวจะทำให้ได้เนื้อที่เหลวเหมือนน้ำ หากต้องการให้ได้เนื้อสัมผัสที่ข้นขึ้นแบบเซรั่มหรือเจล คุณจำเป็นต้องใส่สารสร้างเนื้อเจล/สารสร้างความหนืด เช่น Xanthan Gum หรือ Pro Polymer การใส่เพียงเล็กน้อย (ประมาณ 0.5-1%) ก็สามารถเพิ่มความหนืดได้อย่างมากค่ะ
น้ำกลั่น vs. น้ำ Deionized
น้ำ Deionized (DI water) เหมาะสำหรับการนำมาใช้ในสูตรเครื่องสำอาง และสามารถใช้แทนน้ำกลั่น (Distilled Water) ได้ค่ะ กระบวนการทั้งสองแบบเป็นการกำจัดแร่ธาตุและไอออนออกจากน้ำ การใช้น้ำ DI water หมายความว่าโดยทั่วไปแล้วคุณไม่จำเป็นต้องเติม EDTA (Disodium EDTA) เพื่อจับไอออนของโลหะ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเมื่อใช้ส่วนผสมอย่าง Copper Peptide ที่อาจได้รับผลกระทบจากไอออนของโลหะและ EDTA ดังนั้น การใช้น้ำ DI water เป็นทางเลือกที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสูตร Copper Peptide ของคุณ และถูกต้องแล้วค่ะว่าคุณไม่จำเป็นต้องใส่ EDTA เมื่อใช้น้ำชนิดนี้ โดยเฉพาะในสูตรที่มี Copper Peptide
การวิเคราะห์สูตร Serum Vitamin C E Ferulic
นี่คือข้อคิดเห็นเกี่ยวกับสูตร Vitamin C E Ferulic ที่คุณเสนอมาค่ะ:
- การละลายของส่วนผสม: Ferulic Acid (Pure-Ferulic Acid™) และ Alpha Bisabolol (Bisabolol) ไม่ละลายในน้ำ ควรนำไปละลายในส่วนของตัวทำละลาย/น้ำมัน (Group B เช่น Ethoxydiglycol, Butylene Glycol, Glycerin) ก่อนนำไปผสมกับส่วนของน้ำ (Group A)
- Alpha Bisabolol vs. Vitamin B5 (Panthenol): Alpha Bisabolol เป็นส่วนผสมหลักที่ช่วยลดการอักเสบและลดการระคายเคือง ส่วน Vitamin B5 (Panthenol) เป็นสารให้ความชุ่มชื้น ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว และช่วยสมานแผล ทั้งสองมีประโยชน์ต่อผิวแต่มีหน้าที่หลักต่างกัน ดังนั้น Alpha Bisabolol ไม่สามารถใช้แทนประโยชน์ด้านความชุ่มชื้นและการสมานผิวของ B5 ได้ หากคุณต้องการประโยชน์ของ B5 ควรใส่ Panthenol ในสูตรค่ะ
- Laureth-23: Laureth-23 เป็นสาร Emulsifier ที่ใช้สร้างเนื้อครีมหรือโลชั่น หากคุณทำเซรั่มที่เน้นน้ำเป็นหลักและมีส่วนผสมน้ำมันที่ละลายได้ อาจต้องใช้ Solubilizer หรือ Emulsifier ชนิดอื่น ขึ้นอยู่กับส่วนประกอบโดยรวมและเนื้อสัมผัสที่ต้องการ หากคุณสงสัยว่าอาจแพ้ Laureth-23 ก็มี Emulsifier ทางเลือกอื่นๆ ที่เหมาะกับสูตรของคุณค่ะ
- สารกันเสีย: แม้จะเก็บในตู้เย็น สูตรเครื่องสำอางที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลักก็ยังเสี่ยงต่อการปนเปื้อนจากจุลินทรีย์สูงมาก การแช่เย็นช่วยชะลอการเติบโตแต่ไม่ได้หยุดยั้งทั้งหมด การใส่สารกันเสีย (broad-spectrum preservative) แนะนำอย่างยิ่ง เพื่อความปลอดภัยและความคงตัวของผลิตภัณฑ์ตลอดอายุการใช้งาน การผสมทีละน้อยช่วยลดความเสี่ยง แต่สารกันเสียจะช่วยป้องกันได้ดีที่สุดค่ะ
- ความเข้ากันได้ของค่า pH: สูตรของคุณมี L-Ascorbic Acid (Vitamin C) ซึ่งต้องการค่า pH ต่ำ (ประมาณ 2.0-3.5 เพื่อความเสถียรและประสิทธิภาพ) และ Zinc PCA ซึ่งมีประสิทธิภาพดีที่สุดในช่วง pH 4-6 การปรับค่า pH ให้เหมาะสมที่สุดสำหรับทั้งสองส่วนผสมพร้อมกันทำได้ยาก ค่า pH ที่ต่ำพอสำหรับ L-Ascorbic Acid อาจส่งผลต่อ Zinc PCA และการปรับค่า pH ให้สูงขึ้นด้วย TEA (Triethanolamine) จะทำให้ L-Ascorbic Acid ไม่เสถียร การใส่ TEA แสดงว่าต้องการปรับ pH ให้สูงขึ้น ซึ่งขัดแย้งกับความเสถียรของ L-Ascorbic Acid คุณอาจต้องพิจารณาปรับค่า pH ให้เหมาะสมกับ Vitamin C เป็นหลัก หรือพิจารณาใช้ Vitamin C รูปแบบอื่นที่เสถียรในค่า pH ที่สูงกว่าค่ะ
การวิเคราะห์สูตร Serum Anti-Aging + Whitening
สำหรับสูตรที่สองของคุณ:
- จำนวนส่วนผสม: สูตรนี้มีส่วนผสมออกฤทธิ์หลายชนิดที่ดีต่อการลดริ้วรอยและปรับผิวให้กระจ่างใส การมีส่วนผสมจำนวนมากต้องพิจารณาถึงความเข้ากันได้ ช่วง pH ที่เหมาะสม การทำงานร่วมกัน และปริมาณรวมของสารออกฤทธิ์บนผิว ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการระคายเคืองสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายได้ค่ะ
- น้ำและ EDTA: การใช้น้ำ Deionized เหมาะสมแล้ว และการไม่ใส่ EDTA ก็ถูกต้องและจำเป็นต่อความเสถียรของ Copper Peptide ค่ะ
- สารกันเสีย: เช่นเดียวกับสูตร Vitamin C สูตรที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลักจำเป็นต้องมีสารกันเสีย เพื่อความปลอดภัยและความคงตัวของผลิตภัณฑ์ แม้จะเก็บในตู้เย็นก็ตามค่ะ
- การปรับค่า pH: ส่วนผสมหลายชนิดในสูตรนี้มีช่วง pH ที่เหมาะสมเฉพาะ (เช่น Copper Peptide pH 4.5-7.4, Repair Activator pH 4-5.5, Alpha Arbutin pH 3.5-6.5, Beta Glucan pH 5-7, EGCG pH 4-6.5, B3/NAG pH 3-7) เพื่อให้ส่วนผสมออกฤทธิ์ส่วนใหญ่ทำงานได้ดีและมีความเสถียร ควรปรับค่า pH สุดท้ายของสูตรให้อยู่ในช่วงประมาณ pH 5-5.5 ค่ะ คุณอาจต้องปรับค่า pH หลังจากผสมส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้ว
- ปริมาณส่วนผสม: ปริมาณส่วนผสมที่ระบุ (ไม่รวมน้ำ) รวมกันได้ 40.1% เมื่อรวมกับน้ำ 57.9% จะได้ 98% หากเป็นเปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนัก ควรปรับปริมาณน้ำเล็กน้อยเพื่อให้ครบ 100% ความเข้มข้นของส่วนผสมแต่ละชนิด (เช่น Alpha Arbutin 2%, B3 3%, NAG 3%, Copper Peptide 3%, Repair Activator 8%, EGCG 3%, Beta Glucan 3%, Ceramide 3%, Water Lock 2%, Hyaluronic Acid Nano 0.1%) โดยทั่วไปอยู่ในช่วงที่แนะนำสำหรับการใช้ส่วนผสมแต่ละชนิด แต่ควรพิจารณาผลรวมของสารออกฤทธิ์ทั้งหมด โดยเฉพาะหากคุณมีผิวแพ้ง่าย
การตรวจสอบสต็อกสินค้า
ฉันไม่สามารถให้ข้อมูลสต็อกสินค้าแบบเรียลไทม์สำหรับ Ceramide (Cerasoft™) และ Zinc PCA ได้ค่ะ กรุณาตรวจสอบที่เว็บไซต์โดยตรง หรือติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าในวันจันทร์ที่ 7 เพื่อยืนยันสต็อกก่อนทำการสั่งซื้อนะคะ
โดยสรุป ให้ความสำคัญกับการละลายของส่วนผสมและความเข้ากันได้ของค่า pH ในสูตรของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ Vitamin C และ Copper Peptide ควรใส่สารกันเสียในผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบเสมอ เพื่อความปลอดภัยและความคงตัว แม้จะเก็บในตู้เย็นก็ตาม และตรวจสอบสต็อกสินค้าก่อนสั่งซื้อค่ะ
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Alpha Arbutin (Switzerland)

Safe-B3™ (Vitamin B3, Niacinamide)

Panthenol (Vitamin B5, DL-Panthenol, Powder)

GlucoBright™ (Acetyl Glucosamine)

Pure-Ferulic Acid™

Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine)

Vitamin E (dl-alpha tocopherol)

Ethoxydiglycol (e.q. Transcutol)

Triethanolamine 99%

Laureth-23

Glycerin (USP/Food Grade)

Disodium EDTA

Xanthan Gum (ชนิดเจลใส, เนื้อเนียนไม่ยืด)

Beta Glucan (Saccharomyces cerevisiae extract)

Zinc PCA

WaterLock™ (Polyquaternium-51)

Butylene Glycol
