ตรวจสอบสูตรเซรั่มเจล: ไฮยาลูรอน, วิตามินซี, ไนอะซินาไมด์
คำถาม
ต้องการทำเซรั่มเจล โดยมีเบสจากแนวคิดสูตร Double Hyaluronic Acid มาปรับลดเพิ่มสารต่างๆ เป็นสูตรตามด้านล่างค่ะ
Base (ส่วน A)
- น้ำกลั่นปราศจากเชื้อ: 47 %
- Witch Hazel (Alcohol Free) Plus Allantoin: 45 % (สามารถใช้วิชฮาเซลแทนในส่วนของน้ำตามในสูตรได้ไหมคะ)
- Licorice Extract (Licochalcone A 1%): 0.5 %
- Hyaluronic Acid (Standard Molecule): 0.5 %
- Hyaluronic Acid (Small Molecule): 0.5 %
- Safe-B3™ (Vitamin B3, Niacinamide): 5 %
- Vitamin B6 (Pyridoxine Hydrochloride): 0.5 %
- Pro Polymer™ (Gel Maker): 0.5 % (สารสร้างเนื้อเจล ใส่เป็นลำดับที่ 8 ตามนี้ถูกต้องไหมคะ)
- Phenoxyethanol SA (กันเสีย): 0.5 % (ตัวนี้ต้องใส่สารกันเสียอีกไหมคะ ถ้าในสูตรใช้วิชฮาเซล 45 % แล้ว)
เมื่อได้ส่วน A แล้ว ก็ใส่ส่วนผสมส่วน B เพิ่มดังนี้ค่ะ
- ส่วน A: 83.3 %
- Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine): 15 %
- Glutathione (L-Glutathione Reduced) (Extrasol): 1.5 %
- Disodium EDTA: 0.2 %
รบกวนช่วยตรวจสอบสูตรด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
คำตอบ
การตรวจสอบสูตรและข้อเสนอแนะ
ขอบคุณที่แบ่งปันสูตรเซรั่มเจลของคุณ ซึ่งพัฒนามาจากแนวคิด Double Hyaluronic Acid สูตรนี้เป็นการผสมผสานส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพสูงเพื่อเป้าหมายด้านความชุ่มชื้น การลดการอักเสบ การควบคุมความมัน และการปรับผิวให้กระจ่างใส เรามาดูคำถามของคุณและภาพรวมของสูตรกันค่ะ
การตอบคำถามของคุณ
การใช้น้ำกลั่นวิชฮาเซลแทนน้ำกลั่นบริสุทธิ์: ใช่ค่ะ คุณสามารถใช้น้ำกลั่นวิชฮาเซล (Witch Hazel (Distillate - Alcohol Free, Paraben Free)) (Product ID: 162) แทนส่วนของน้ำกลั่นบริสุทธิ์ (Purified Water) (Product ID: 838) ในส่วน A ได้ในทางเทคนิค เนื่องจากทั้งสองเป็นส่วนผสมในเฟสน้ำ อย่างไรก็ตาม สูตรของคุณมีส่วนผสมของ Witch Hazel (Alcohol Free) Plus Allantoin (Product ID: 238) อยู่แล้ว 45% หากคุณใช้น้ำกลั่นวิชฮาเซลแทนน้ำกลั่นบริสุทธิ์อีก 47% จะทำให้ความเข้มข้นรวมของวิชฮาเซลในสูตรสูงมากถึง 92% แม้ว่าผลิตภัณฑ์วิชฮาเซลทั้งสองชนิดจะไม่มีแอลกอฮอล์ แต่ความเข้มข้นที่สูงมากเช่นนี้อาจทำให้รู้สึกฝาดหรือระคายเคืองต่อผิวบางประเภทได้ การใช้ตามแผนเดิมคือ น้ำกลั่นบริสุทธิ์ 47% และ Witch Hazel Plus Allantoin 45% ถือเป็นแนวทางที่สมดุลกว่า หากคุณต้องการใช้น้ำกลั่นวิชฮาเซลชนิด Distillate คุณสามารถใช้ 45% ของ Witch Hazel Distillate และน้ำกลั่นบริสุทธิ์ 47% แทนการใช้ Witch Hazel Plus Allantoin ก็ได้ค่ะ
ลำดับการผสม Pro Polymer™ (สารสร้างเนื้อเจล): การใส่ Pro Polymer™ (Product ID: 234) เป็นลำดับที่ 8 ไม่ใช่ลำดับที่เหมาะสมที่สุดค่ะ สารสร้างเนื้อเจลอย่าง Pro Polymer™ ต้องการเวลาในการไฮเดรต (ดูดซับน้ำ) ในเฟสน้ำอย่างเหมาะสมเพื่อสร้างโครงสร้างเจลที่เรียบเนียน การใส่ในภายหลัง โดยเฉพาะหลังจากส่วนผสมที่มีคุณสมบัติเป็นอิเล็กโทรไลต์ (Electrolyte) หรือส่งผลต่อค่า pH (เช่น Vitamin B6) อาจรบกวนการไฮเดรตและการสร้างเนื้อเจล ทำให้เนื้อสัมผัสไม่เรียบเนียนเท่าที่ควร หรือต้องใช้เวลาและความพยายามในการผสมมากขึ้น โดยทั่วไปแนะนำให้ใส่สารสร้างเนื้อเจลลงในเฟสน้ำในช่วงต้นๆ ของกระบวนการ และปล่อยให้ไฮเดรตเต็มที่ก่อนที่จะใส่ส่วนผสมแอคทีฟอื่นๆ ค่ะ
การกันเสียด้วย Phenoxyethanol SA: สูตรของคุณใช้ Phenoxyethanol SA (Product ID: 928) ที่ความเข้มข้น 0.5% ซึ่งเป็นสารกันเสียแบบ Broad-spectrum แม้ว่า Witch Hazel (Alcohol Free) Plus Allantoin (Product ID: 238) จะมีสารกันเสียในตัวเอง (กรดเบนโซอิก) แต่การพึ่งพาสารกันเสียจากวิชฮาเซลเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอสำหรับการกันเสียในสูตรที่มีส่วนผสมซับซ้อนและมีปริมาณน้ำสูง Phenoxyethanol SA ที่ 0.5% เป็นความเข้มข้นที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับช่วงที่แนะนำ (0.5-1.25%) ด้วยปริมาณน้ำที่สูงและส่วนผสมแอคทีฟหลากหลายชนิด แนะนำอย่างยิ่งให้ทำการทดสอบ Challenge Test กับสูตรสำเร็จของคุณ เพื่อยืนยันว่า Phenoxyethanol SA ที่ 0.5% เพียงพอที่จะป้องกันการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ตลอดอายุการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์หรือไม่ คุณอาจจำเป็นต้องเพิ่มความเข้มข้นของ Phenoxyethanol SA (สูงสุด 1.25%) ขึ้นอยู่กับผลการทดสอบค่ะ
ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับสูตรโดยรวม
- ส่วนผสมแอคทีฟที่มีประสิทธิภาพ: สูตรของคุณมีการผสมผสานส่วนผสมแอคทีฟที่ดี เช่น Niacinamide, Vitamin C, Glutathione, Licorice Extract และ Hyaluronic Acids ซึ่งมุ่งเน้นการดูแลผิวหลายด้าน
- ความเสถียรของ Vitamin C และค่า pH: การใส่ L-ascorbic acid (Product ID: 133) ที่ความเข้มข้น 15% เป็นความเข้มข้นที่สูงและมีประสิทธิภาพในการปรับผิวให้กระจ่างใส อย่างไรก็ตาม L-ascorbic acid ไม่เสถียรอย่างยิ่งในน้ำ และต้องการค่า pH ที่ต่ำ (โดยทั่วไป 3.5-4.0 เพื่อความเสถียรและประสิทธิภาพ รวมถึงเป็นไปตามข้อกำหนด อย.) ค่า pH ที่ต่ำนี้สำคัญต่อ Vitamin C แต่ต่ำกว่าช่วง pH ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับ Niacinamide (4.0-7.0) แม้ว่า Niacinamide จะระบุว่าเสถียรถึง pH 3 แต่การทำงานที่ดีที่สุดอยู่ในช่วงที่สูงกว่าเล็กน้อย ค่า pH ที่ต่ำอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผู้ใช้บางรายได้ Glutathione (Product ID: 225) สามารถช่วยเพิ่มความเสถียรของ Vitamin C ได้ แต่การรักษาระดับ pH ที่ต่ำตามที่ L-ascorbic acid 15% ต้องการในเนื้อเจลที่เป็นน้ำเป็นเรื่องที่ท้าทายในการเก็บรักษาในระยะยาว
- กระบวนการผสม: การนำ Vitamin C และ Glutathione (ส่วน B) มาผสมกับเนื้อเจลที่ทำไว้แล้ว (ส่วน A) เป็นแนวทางที่ถูกต้องสำหรับส่วนผสมที่ไวต่อความร้อน โดยใส่ในขั้นตอนสุดท้ายที่อุณหภูมิต่ำกว่า 30°C อย่างไรก็ตาม การละลายผง L-ascorbic acid 15% ให้เข้ากับเนื้อเจลอย่างเรียบเนียนอาจทำได้ยาก และอาจทำให้เกิดเนื้อทรายหากผสมไม่ดีพอ
ลำดับการผสมที่แนะนำ
เพื่อปรับปรุงกระบวนการทำและเพิ่มความเสถียร ลองพิจารณาลำดับการผสมดังนี้ค่ะ:
ส่วน A:
- รวมน้ำกลั่นบริสุทธิ์ (Product ID: 838) และ Witch Hazel (Alcohol Free) Plus Allantoin (Product ID: 238) เข้าด้วยกัน
- ใส่ Disodium EDTA (Product ID: 184) ลงในเฟสน้ำและผสมจนละลาย
- ค่อยๆ โรย Pro Polymer™ (Product ID: 234) ลงบนผิวหน้าของเฟสน้ำพร้อมกับคนเบาๆ ปล่อยให้ไฮเดรตเต็มที่จนเกิดเป็นเนื้อเจล หลีกเลี่ยงการปั่นด้วยความเร็วสูง
- เมื่อเนื้อเจลก่อตัวและเรียบเนียนแล้ว ให้ใส่ Licorice Extract (Product ID: 69), Hyaluronic Acid (Standard Molecule) (Product ID: 79), Hyaluronic Acid (Small Molecule) (Product ID: 105), Safe-B3™ (Product ID: 74), และ Vitamin B6 (Product ID: 643) ผสมเบาๆ จนส่วนผสมทั้งหมดกระจายตัวสม่ำเสมอ โปรดจำไว้ว่า Vitamin B6 ไวต่อความร้อนและแสง ค่า pH ที่ต่ำของ Vitamin B6 อาจทำให้เนื้อเจลข้นน้อยลงเล็กน้อย
- ใส่ Phenoxyethanol SA (Product ID: 928) และผสมให้เข้ากันดี
ส่วน B (เตรียมแยกต่างหากและเติมลงในส่วน A):
- ในภาชนะแยกต่างหาก ละลาย Glutathione (Product ID: 225) และ Vitamin C (L-ascorbic acid) (Product ID: 133) ในปริมาณน้อยที่สุดของเบสส่วน A หรือน้ำกลั่นบริสุทธิ์ (หากยอมรับได้ในการปรับปริมาณน้ำรวม) ใส่ Glutathione ก่อนแล้วตามด้วย Vitamin C ทำให้แน่ใจว่าละลายหมดจด ขั้นตอนนี้สำคัญต่อเนื้อสัมผัสสุดท้าย
- ค่อยๆ เติมส่วนผสมส่วน B ที่ละลายแล้วลงในเบสเจลส่วน A ที่ทำเสร็จแล้ว ผสมเบาๆ และให้เข้ากันดีจนเป็นเนื้อเดียว ตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุณหภูมิของเบสส่วน A ต่ำกว่า 30°C เมื่อเติมส่วน B
ข้อควรพิจารณาที่สำคัญ
- การปรับค่า pH: คุณอาจต้องปรับค่า pH สุดท้ายของสูตรให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับความเสถียรของ L-ascorbic acid (3.5-4.0) โดยใช้กรดที่เหมาะสม (เช่น Ferulic Acid, สารละลาย Citric Acid) โปรดทราบว่าค่า pH นี้อาจต่ำกว่าค่าที่เหมาะสมที่สุดสำหรับ Niacinamide
- การทดสอบความเสถียร: เนื่องจากมีความเข้มข้นของ L-ascorbic acid สูง ความเสถียรของสูตรเมื่อเวลาผ่านไป (การเปลี่ยนสี การสูญเสียประสิทธิภาพ) เป็นข้อกังวลหลัก การใช้บรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม (เช่น ขวดปั๊มสุญญากาศ ทึบแสง) เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง พิจารณาเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น Ferulic Acid หรือ Vitamin E เพื่อช่วยเพิ่มความเสถียร
- Challenge Test: ดังที่กล่าวไป การทดสอบ Challenge Test เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการยืนยันประสิทธิภาพของระบบสารกันเสียของคุณ
- ความไวต่อผิว: ค่า pH ที่ต่ำซึ่งจำเป็นสำหรับ Vitamin C และความเข้มข้นสูงของ Witch Hazel อาจทำให้เกิดการระคายเคือง โดยเฉพาะกับผิวแพ้ง่าย พิจารณาการทดสอบบนพื้นที่เล็กๆ ก่อนใช้งานจริง
สูตรนี้มีศักยภาพที่จะมีประสิทธิภาพสูง แต่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับค่า pH เทคนิคการผสม และความเสถียรเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จค่ะ
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Licorice Extract (Licochalcone A 1%, Water-Soluble)

Safe-B3™ (Vitamin B3, Niacinamide)

Hyaluronic Acid (Standard Molecule)

Hyaluronic Acid (Small Molecule)

Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine)

Disodium EDTA

Pro Polymer™ (Gel Maker)

Vitamin B6 (Pyridoxine Hydrochloride)
