ทำไม Niacinamide และ L-Ascorbic Acid จึงไม่นิยมผสมรวมกันในเซรั่ม

ถามโดย: rooss1612 เมื่อ: December 10, 2019 ประเภทผลิตภัณฑ์: เครื่องสำอาง

คำถาม

รบกวนสอบถามเพื่อเป็นความรู้ครับ

ทำไม Niacinamide จึงไม่สามารถขึ้นสูตรพร้อมกันได้กับสูตรที่มีส่วนประกอบของ L-ascorbic acid ครับ

หากสูตรที่มีส่วนประกอบทั้ง 2 อย่างข้างต้นนี้รวมกันอยู่ในสูตรเดียวกัน จะทำให้เกิดปฏิกิริยาใดต่อตัวเซรั่ม?

หรือจะส่งผลต่อผิวหน้าในแง่ใดบ้าง หากในสูตรมีสาร 2 ตัวข้างต้นผสมกันอยู่ในสูตรเดียวกันครับ?

ปัจจุบัน มีเซรั่มใดบ้างที่มีทั้ง Niacinamide และ L-ascorbic acid ขึ้นรวมกันอยู่ในสูตรเดียวกันครับ

คำตอบ

ทำไม Niacinamide และ L-Ascorbic Acid จึงไม่นิยมผสมรวมกันในสูตรเดียว

เหตุผลหลักที่ Niacinamide (วิตามินบี 3) และ L-Ascorbic Acid (วิตามินซี) โดยทั่วไปไม่แนะนำให้ผสมรวมกันในเซรั่มเดียวกัน เป็นเพราะค่า pH ที่เหมาะสมสำหรับความเสถียรและประสิทธิภาพของสารทั้งสองแตกต่างกัน:

  • L-Ascorbic Acid มีความเสถียรและมีประสิทธิภาพสูงสุดในสภาพแวดล้อมที่เป็นกรด โดยทั่วไปที่ค่า pH 2.0-4.0
  • Niacinamide มีความเสถียรมากกว่าที่ค่า pH เป็นกลาง โดยทั่วไปอยู่ระหว่าง 4.0-7.0

เมื่อ Niacinamide ถูกผสมรวมกับ L-Ascorbic Acid ในสภาพแวดล้อมที่มีค่า pH ต่ำ (เป็นกรด) Niacinamide สามารถเกิดปฏิกิริยาที่เรียกว่า Hydrolysis ซึ่งปฏิกิริยานี้จะเปลี่ยน Niacinamide ให้กลายเป็น Nicotinic Acid

ผลกระทบต่อเซรั่มและผิวหนัง

หากเซรั่มมีส่วนประกอบทั้งสองและถูกผสมที่ค่า pH ที่ไม่เหมาะสม สิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้คือ:

  • การก่อตัวของ Nicotinic Acid: ปฏิกิริยาระหว่าง Niacinamide และ L-Ascorbic Acid ที่ค่า pH ต่ำนำไปสู่การก่อตัวของ Nicotinic Acid
  • ความไม่เสถียรของเซรั่ม: ปฏิกิริยาอาจส่งผลต่อความเสถียรและลักษณะของเซรั่มเมื่อเวลาผ่านไป
  • การระคายเคืองผิว: Nicotinic Acid เป็นที่ทราบกันดีว่าทำให้เกิดอาการหน้าแดง (Flushing), รอยแดง, อาการคัน และความรู้สึกร้อนวูบวาบบนผิวหนังชั่วคราว แม้ว่าจะไม่เป็นอันตราย แต่อาการเหล่านี้อาจทำให้รู้สึกไม่สบายและไม่เป็นที่ต้องการในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง

เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้ โดยทั่วไปแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี Niacinamide และ L-Ascorbic Acid แยกกัน เช่น ใช้ในเวลาที่ต่างกันของวัน

เซรั่มที่มีส่วนประกอบทั้งสอง

แม้ว่าการผสม L-Ascorbic Acid บริสุทธิ์และ Niacinamide เข้าด้วยกันในเซรั่มพื้นฐานที่เป็นน้ำอย่างเสถียรจะเป็นเรื่องที่ท้าทายเนื่องจากความขัดแย้งของค่า pH แต่ผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์บางชนิดก็มีส่วนประกอบทั้งสองนี้อยู่ด้วย สูตรเหล่านี้มักใช้เทคนิคเฉพาะเพื่อลดปฏิกิริยาและการก่อตัวของ Nicotinic Acid เช่น:

  • ใช้รูปแบบอนุพันธ์ของวิตามินซีที่มีความเสถียร (เช่น Sodium Ascorbyl Phosphate หรือ Ascorbyl Glucoside) ซึ่งมีความเสถียรที่ค่า pH สูงกว่าและเข้ากันได้กับ Niacinamide
  • การทำสูตรแบบ Anhydrous (ไม่มีน้ำ) ซึ่งปฏิกิริยาเกิดขึ้นได้น้อยกว่า
  • ใช้เทคนิค Encapsulation หรือระบบนำส่งอื่นๆ เพื่อแยกส่วนประกอบทั้งสองออกจากกันจนกว่าจะทาลงบนผิว

อย่างไรก็ตาม การผสม L-Ascorbic Acid บริสุทธิ์และ Niacinamide ในสูตรพื้นฐานที่เป็นน้ำที่ค่า pH ที่เหมาะสมของแต่ละตัว เป็นเรื่องที่ทำได้ยากโดยไม่เสี่ยงต่อความไม่เสถียรและการระคายเคืองผิวจาก Nicotinic Acid

ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Safe-B3™ (Vitamin B3, Niacinamide)
Safe-B3™ (Vitamin B3, Niacinamide)
เครื่องสำอาง
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine)
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine)
เครื่องสำอาง
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Fine)
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Fine)
เครื่องสำอาง
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Standard)
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Standard)
เครื่องสำอาง
Safe-B3™ (Vitamin B3, Niacinamide, Switzerland)
Safe-B3™ (Vitamin B3, Niacinamide, Switzerland)
เครื่องสำอาง