ปัญหาครีมแยกชั้นเมื่อมีน้ำมันและ DMAE สูง

ถามโดย: phatcharapha24 เมื่อ: January 12, 2016 ประเภทผลิตภัณฑ์: เครื่องสำอาง

คำถาม

ฉันทำครีมสูตรหนึ่งโดยใช้ Light Cream Maker ซึ่งมีส่วนผสมของน้ำมันค่อนข้างมาก (ประมาณ 20% จาก Cyclomethicone และ Isododecane) และใช้ DMAE ชนิดผงความเข้มข้นสูง (10%) โดยไม่ได้วัดค่า pH ผลปรากฏว่าครีมแยกชั้น อยากทราบว่าเกิดจากอะไร และมีวิธีแก้ไขอย่างไรบ้าง?

คำตอบ

ปัญหาครีมแยกชั้น

จากสูตรและขั้นตอนที่คุณให้มา รวมถึงคำแนะนำจาก C7 การแยกชั้นของครีมน่าจะเกิดจากหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความสามารถของสารประสานเนื้อและค่า pH ของสูตร

นี่คือสาเหตุของปัญหาและแนวทางแก้ไข:

  • ข้อจำกัดของสารประสานเนื้อ: Light Cream Maker ที่คุณใช้เป็นสารประสานเนื้อและสารสร้างเนื้อแบบอิมัลชันน้ำในน้ำมันที่ทำงานได้โดยไม่ต้องใช้ความร้อน สามารถใช้ในช่วง pH 2.5-11 และรองรับน้ำมันได้ถึง 20% อย่างไรก็ตาม คำอธิบายผลิตภัณฑ์ระบุว่าอาจมีความไวต่ออิเล็กโทรไลต์ในปริมาณสูง ซึ่งสามารถลดความหนืดและความเสถียรของเนื้อครีมได้
  • DMAE และค่า pH: DMAE ถูกระบุว่าเป็นอิเล็กโทรไลต์ในคำอธิบายของ Light Cream Maker การใช้ DMAE ชนิดผง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความเข้มข้นสูงถึง 10% อาจทำให้เฟสน้ำมีความเป็นกรดสูง หากไม่ได้วัดและปรับค่า pH ความเป็นกรดที่ต่ำเกินไปสามารถทำให้ความสามารถของ Light Cream Maker ในการคงสภาพอิมัลชันลดลงอย่างมาก นำไปสู่การแยกชั้น นอกจากนี้ ส่วนผสมอื่นๆ เช่น Vitamin B3 และ MSH White ก็มีความไวต่อค่า pH ที่ต่ำมากและอาจเสื่อมสภาพได้ ทำให้ประสิทธิภาพลดลง

วิธีแก้ไข

เพื่อป้องกันการแยกชั้นและเพิ่มความเสถียรของเนื้อครีมของคุณ ให้พิจารณาปรับเปลี่ยนตามคำแนะนำดังนี้:

  1. ลดปริมาณน้ำมัน: การลดปริมาณรวมของ Cyclomethicone และ Isododecane ลงเหลือ 10-15% จะช่วยให้สารประสานเนื้อทำงานได้ง่ายขึ้นในการคงสภาพอิมัลชัน
  2. ลดความเข้มข้นของ DMAE: การใช้ DMAE ชนิดผงที่ความเข้มข้น 10% ถือว่าค่อนข้างสูง การลดเหลือ 5% ก็มักจะให้ผลลัพธ์ที่ต้องการ และอาจช่วยเพิ่มความเสถียรของสูตร รวมถึงลดความเสี่ยงต่อการระคายเคืองผิว
  3. พิจารณาใช้สารสร้างเนื้อ/สารประสานเนื้อทางเลือก: แม้ว่า Light Cream Maker จะทำงานได้โดยไม่ต้องใช้ความร้อน แต่ Pro Polymer (Acrylate Crosspolymer) ถูกแนะนำให้เป็นสารสร้างเนื้อเจลทางเลือกที่สามารถให้ความเสถียรที่ดีกว่า โดยเฉพาะในสูตรที่มีน้ำมันและอิเล็กโทรไลต์ คำอธิบายผลิตภัณฑ์ระบุว่ามีความทนทานต่ออิเล็กโทรไลต์ได้ดี แม้ว่าอิเล็กโทรไลต์ความเข้มข้นสูงอาจยังคงต้องใช้ Pro Polymer ในอัตราที่สูงขึ้น
  4. สิ่งสำคัญคือ การตรวจสอบและปรับค่า pH: หลังจากผสมเฟสน้ำที่มี DMAE และ Vitamin B3 แล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องวัดค่า pH หากค่าต่ำเกินไป ให้ค่อยๆ ปรับเพิ่มขึ้น ตั้งเป้าหมายให้ค่า pH อยู่ในช่วงที่เหมาะสมกับส่วนผสมทั้งหมดของคุณ (Vitamin B3 เหมาะที่สุดในช่วง 4.0-7.0 และ MSH White ก็มีความไวต่อ pH เช่นกัน) ค่า pH ประมาณ 3.5-4 ถูกกล่าวถึงว่าเป็นค่าที่อาจมีปัญหากับสารสร้างเนื้อ แต่การทำให้เข้ากันได้กับส่วนผสมออกฤทธิ์ของคุณเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

สำหรับครีมที่ผสมไปแล้ว

สำหรับครีมที่คุณผสมไปแล้วและเกิดการแยกชั้น:

  • คุณสามารถลองวัดค่า pH และค่อยๆ ปรับเพิ่มขึ้น
  • การเขย่าผลิตภัณฑ์ก่อนใช้แต่ละครั้งจะช่วยผสมเนื้อครีมชั่วคราว แต่ไม่ได้แก้ไขปัญหาความเสถียรที่แท้จริง
  • คุณอาจลองผสม Pro Polymer เข้าไปในครีมที่ทำไว้แล้ว หลังจากปรับค่า pH แล้ว โดยใช้เครื่องผสมช่วยให้ละลายและสร้างเนื้อครีม ซึ่งอาจช่วยเพิ่มความเสถียรได้

การปรับสมดุลระหว่างเฟสน้ำมัน ความเข้มข้นของอิเล็กโทรไลต์ (จาก DMAE) และการทำให้แน่ใจว่าค่า pH อยู่ในช่วงที่เสถียรและเหมาะสมกับส่วนผสมและสารประสานเนื้อของคุณ จะช่วยให้คุณได้เนื้อครีมที่คงตัว

ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Safe-B3™ (Vitamin B3, Niacinamide)
Safe-B3™ (Vitamin B3, Niacinamide)
เครื่องสำอาง
DMAE (dimethylaminoethanol bitartrate)
DMAE (dimethylaminoethanol bitartrate)
เครื่องสำอาง
Light Cream Maker™
Light Cream Maker™
เครื่องสำอาง
Cyclopentasiloxane (Low-Odor Cyclomethicone)
Cyclopentasiloxane (Low-Odor Cyclomethicone)
เครื่องสำอาง
Isododecane (Germany)
Isododecane (Germany)
เครื่องสำอาง
Pro Polymer™ (Gel Maker)
Pro Polymer™ (Gel Maker)
เครื่องสำอาง
MSH White Absorb™
MSH White Absorb™
เครื่องสำอาง