ปัญหาเซรั่ม: สีเปลี่ยน, ไม่เกาะผิว และข้อเสนอสูตร Water-in-Oil
คำถาม
อ้างอิง topic3931.html#p16228
ผมมีคำถามเกี่ยวกับสูตรเซรั่มที่ผมทำครับ
ขั้นตอนการผสมที่ผมทำปัจจุบันมีดังนี้:
Part A
- Water: Qs 100
- Disodium EDTA: 0.2%
- Glycerin: 3%
- Butylene Glycol: 2%
- Tranexamic Acid: 3%
- Pro Polymer: 1.5%
- Phenoxyethanol: 0.5%
Part B
- Sym White: 0.5%
- ODA White plus: 3%
- Perfect C: 5%
- Vit E: 0.5%
- Repair Activator: 10%
Part C
- Azelaic liquid: 10%
- Dipotassium Glycyrrhizate: 0.5%
Part D
- Glycolic pH 4
ขั้นตอนการผสม:
- ผสม A แล้วปั่น
- เติม B แล้วปั่น
- เติม C ถ้ามันเหลวลง ผมเติม Pro Polymer อีกเล็กน้อย แล้วปั่น
- เติม D
วิธีเก็บรักษา: ใส่ขวดแก้วสีชา ใส่ตู้เย็น
ปัญหาที่เกิดขึ้น:
- ตอนผสมเสร็จ เนื้อเซรัมเป็นสีขาวขุ่น 1 เดือน ผ่านไป เนื้อเซรัมเป็นสีเหลืองออกน้ำตาล อยากทราบวิธีการแก้ไขครับ
- มันไม่ค่อยเกาะหน้า ทาก่อนนอนก็เลาะหมอนหมดเลยครับ
ผมอยากให้มันเกาะหน้านานๆ โดยใช้ Water in Oil EZ เข้ามาทำ สามารถเปลี่ยนการผสมโดยใช้วิธีนี่ได้ไหมครับ? นี่คือสูตรใหม่ที่ผมเสนอ:
Part น้ำมัน:
- Mineral Oil (Paraffinum Liquidum) ชนิดเบา: 10%
- Vit E: 0.5%
- Glycerin: 3%
- Butylene Glycol: 2%
- Sym White: 0.5%
- Water in Oil EZ: 1.5%
Part น้ำ:
- Tranexamic Acid: 3%
- EDTA: 0.2%
- Phenoxyethanol: 0.5%
- Azelaic liquid: 10%
- Repair Activator: 10%
- Glycyrrhizate: 0.5%
- Water: qs 100
Part active ที่ต้องใส่ทีหลัง:
- ODA White plus: 3%
- Perfect C: 5%
- Glycolic pH 4
ขั้นตอนการผสมที่เสนอ (Water-in-Oil):
- ผสม part น้ำมัน แล้วอุ่นเล็กน้อย
- ผสม part น้ำ แล้วค่อยๆ เติมลงใน part น้ำมันแล้วปั่น
- ใส่ part active ที่เหลือ
- ใส่ Glycolic ปรับ pH 4
- ถ้าเหลวไป เติม Xanthan Gum 1%
แบบนี้พอได้ไหมครับ?
คำตอบ
ข้อเสนอแนะการทำเซรั่มและข้อเสนอสูตร Water-in-Oil
ขอบคุณที่แบ่งปันสูตรเซรั่มและปัญหาที่คุณพบค่ะ เรามาดูปัญหาและประเมินข้อเสนอของคุณในการใช้ Water-in-Oil EZ กันนะคะ
ปัญหาที่ 1: สีเปลี่ยน (การเกิดออกซิเดชัน)
การที่เซรั่มเปลี่ยนสีจากขาวขุ่นเป็นสีเหลืองออกน้ำตาลหลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน เป็นสัญญาณทั่วไปของการเกิดออกซิเดชัน ในสูตรเดิมของคุณ Perfect-C (Ascorbyl Tetraisopalmitate) ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของวิตามินซีที่ละลายในน้ำมัน เป็นส่วนผสมที่มีแนวโน้มมากที่สุดที่จะเกิดออกซิเดชันและทำให้สีเปลี่ยนไป แม้ว่า Ascorbyl Tetraisopalmitate จะเสถียรกว่า L-Ascorbic Acid แต่ก็ยังสามารถเกิดออกซิเดชันได้เมื่อเวลาผ่านไป โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสกับอากาศ แสง หรือความร้อน ส่วนผสมอื่นๆ ก็อาจมีส่วนทำให้เกิดออกซิเดชันได้เช่นกัน
การเก็บรักษาในขวดแก้วสีชาและในตู้เย็นที่คุณทำอยู่เป็นวิธีที่ดีและช่วยชะลอการเกิดออกซิเดชันได้ เพื่อลดการเกิดออกซิเดชันเพิ่มเติม:
- ลดการสัมผัสอากาศ: ลดปริมาณอากาศในภาชนะ การใช้ขวดปั๊มสุญญากาศอาจเป็นประโยชน์ได้หากทำได้ อากาศที่เข้าไประหว่างการผสมก็มีส่วนทำให้เกิดออกซิเดชันได้เช่นกัน
- คุณภาพวัตถุดิบ: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าวัตถุดิบของคุณ โดยเฉพาะ Perfect-C มีความสดใหม่และถูกเก็บรักษาอย่างถูกต้องก่อนนำมาใช้
- สารต้านอนุมูลอิสระเพิ่มเติม: แม้ว่าจะมี Vitamin E อยู่แล้ว บางครั้งอาจจำเป็นต้องใช้สารต้านอนุมูลอิสระหรือสารคีเลต (เช่น Disodium EDTA ที่คุณใช้อยู่แล้ว) เพิ่มเติมเพื่อช่วยป้องกัน อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถแนะนำการเพิ่มส่วนผสมหรือความเข้มข้นที่เฉพาะเจาะจงได้หากไม่มีรายละเอียดสูตรทั้งหมดและการทดสอบความเสถียร
ปัญหาที่ 2: การไม่เกาะผิว
สูตรเริ่มต้นของคุณน่าจะเป็นเจลหรือเซรั่มเนื้อบางเบาที่มีเบสน้ำ โดยใช้ Pro Polymer เป็นสารเพิ่มความหนืด เนื้อสัมผัสแบบนี้ออกแบบมาให้ซึมซาบเร็วและไม่เหนอะหนะ แต่โดยทั่วไปแล้วจะไม่สร้างฟิล์มที่ชัดเจนบนผิว ซึ่งเป็นสาเหตุที่อาจหลุดติดหมอนได้ง่าย
แนวคิดของคุณในการเปลี่ยนไปใช้สูตร Water-in-Oil (W/O) โดยใช้ Water in Oil EZ เป็นแนวทางที่ดีในการปรับปรุงการเกาะผิว อิมัลชันแบบ W/O จะสร้างชั้นน้ำมันต่อเนื่องบนผิว ทำให้เกิดชั้นที่ช่วยเคลือบผิวได้ดีขึ้น ซึ่งจะรู้สึกได้ถึงความเข้มข้นและอยู่บนผิวได้นานกว่า เมื่อเทียบกับอิมัลชันแบบ Oil-in-Water (O/W) หรือเจลทั่วไป ทำให้เหมาะสำหรับใช้เป็นเซรั่มกลางคืน
การประเมินสูตร Water-in-Oil ที่คุณเสนอ
ส่วนผสมที่คุณเสนอสำหรับสูตร Water-in-Oil เหมาะสำหรับการทำอิมัลชันประเภทนี้ อย่างไรก็ตาม การแบ่งเฟสและขั้นตอนการผสมจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตามหลักการทำอิมัลชัน W/O ที่ถูกต้อง
ในการทำอิมัลชัน Water-in-Oil ส่วนผสมที่ละลายในน้ำมันจะรวมกันในเฟสน้ำมัน และส่วนผสมที่ละลายในน้ำจะรวมกันในเฟสน้ำ จากนั้นจึงค่อยๆ เติมเฟสน้ำลงในเฟสน้ำมันพร้อมกับคนด้วยความเร็วสูง
นี่คือการแบ่งเฟสและขั้นตอนการผสมที่แนะนำสำหรับสูตร W/O ที่คุณเสนอ:
เฟสน้ำมัน (Oil Phase):
- Mineral Oil (Paraffinum Liquidum) ชนิดเบา
- Vitamin E (Tocopheryl Acetate)
- Sym White (Phenylethyl Resorcinol)
- Water in Oil EZ
- Perfect C (Ascorbyl Tetraisopalmitate)
เฟสน้ำ (Water Phase):
- Water
- Tranexamic Acid
- Disodium EDTA
- Glycerin
- Butylene Glycol
- Phenoxyethanol
- Azelaic Acid liquid (Liquid Azelaic)
- Repair Activator (Bifida Ferment Lysate)
- Dipotassium Glycyrrhizate
- ODA White (Octadecenedioic Acid) plus (ส่วนผสมนี้มีความสามารถในการละลายที่แตกต่างกันไป แต่มักจะกระจายตัวในน้ำหรือต้องใช้ตัวทำละลายเฉพาะ การรวมไว้ในเฟสน้ำเป็นวิธีที่นิยมในอิมัลชัน)
- Xanthan Gum (หากใช้เพื่อเพิ่มความหนืดในเฟสน้ำ)
ขั้นตอนการผสมสำหรับอิมัลชัน Water-in-Oil:
- เตรียมเฟสน้ำมัน: รวม Mineral Oil, Vitamin E, Sym White, Water in Oil EZ และ Perfect C ในภาชนะเดียวกัน ค่อยๆ ให้ความร้อนกับเฟสนี้ (เช่น ที่อุณหภูมิ 70-75°C) เพื่อให้แน่ใจว่าส่วนผสมทั้งหมดละลายและมีอุณหภูมิใกล้เคียงกับเฟสน้ำเพื่อช่วยในการเกิดอิมัลชันที่ดีขึ้น
- เตรียมเฟสน้ำ: รวม Water, Tranexamic Acid, Disodium EDTA, Glycerin, Butylene Glycol, Phenoxyethanol, Azelaic Acid liquid, Repair Activator, Dipotassium Glycyrrhizate และ ODA White plus ในภาชนะแยกต่างหาก หากใช้ Xanthan Gum ให้กระจายตัวในเฟสน้ำให้เข้ากันดีจนเป็นเนื้อเจลก่อนเติมส่วนผสมที่ละลายน้ำอื่นๆ ให้ความร้อนกับเฟสนี้จนมีอุณหภูมิเท่ากับเฟสน้ำมัน (70-75°C)
- ปรับ pH เฟสน้ำ: ก่อน นำทั้งสองเฟสมาผสมกัน ให้ปรับ pH ของเฟสน้ำที่อุ่นแล้วให้อยู่ในช่วงประมาณ 4 โดยใช้ Glycolic Acid การปรับ pH อย่างมีนัยสำคัญหลังจากเกิดอิมัลชันแล้วอาจทำได้ยากและอาจทำให้ W/O อิมัลชันไม่เสถียรได้
- การทำอิมัลชัน: ค่อยๆ เติมเฟสน้ำที่อุ่นแล้วลงในเฟสน้ำมันที่อุ่นแล้ว พร้อมกับคนอย่างต่อเนื่องด้วยความเร็วสูง (เช่น ใช้เครื่อง Homogenizer หรือเครื่องปั่นความเร็วสูง) คนต่อไปจนกระทั่งอิมัลชันก่อตัวและเย็นลงจนถึงอุณหภูมิห้อง
- ตรวจสอบขั้นสุดท้าย: ตรวจสอบ pH สุดท้ายและปรับเล็กน้อยหากจำเป็น แม้ว่าการปรับ pH หลักควรทำในเฟสน้ำก่อนการทำอิมัลชัน ความหนืดสามารถปรับได้โดยปริมาณของ Water in Oil EZ ที่ใช้ หรือโดยการใช้สารเพิ่มความหนืดในเฟสใดเฟสหนึ่งตามความเหมาะสม
วิธีการทำอิมัลชัน Water-in-Oil นี้ควรให้เนื้อสัมผัสที่เกาะผิวได้ดีขึ้นตามที่คุณต้องการ โปรดจำไว้ว่าแม้เบส W/O อาจช่วยป้องกันได้บ้าง แต่การเกิดออกซิเดชันของส่วนผสมที่ไวต่อการเปลี่ยนแปลง เช่น Perfect C ก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้เมื่อเวลาผ่านไป ควรเก็บผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปในที่เย็นและมืด เช่น ในตู้เย็น เพื่อยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานที่สุด
สูตร W/O ที่คุณเสนอมีความเป็นไปได้และช่วยแก้ปัญหาการไม่เกาะผิวได้ การทำตามขั้นตอนการผสมที่ถูกต้องสำหรับอิมัลชัน W/O เป็นสิ่งสำคัญสำหรับความเสถียรของสูตรค่ะ
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Vitamin E (Tocopheryl Acetate)

Glycerin (USP/Food Grade)

Phenoxyethanol (Extra Pure)

Disodium EDTA

Xanthan Gum (ชนิดเจลใส, เนื้อเนียนไม่ยืด)

Azelaic Acid (Liquid Azelaic™)

Pro Polymer™ (Gel Maker)

Butylene Glycol

Perfect-C™ (Ascorbyl Tetraisopalmitate)

Mineral Oil (Paraffinum Liquidum) Light (26cst)

Glycopure™ (Glycolic Acid (AHA) 100% Powder)

Water-in-Oil EZ™ (Cetyl PEG/PPG-10/1 Dimethicone)

Phenylethyl Resorcinol (e.q. SymWhite 377)

ODA-White Plus™

Dipotassium Glycyrrhizate (DPG, High Purity)
