รีวิวสูตรเซรั่มและคำแนะนำ
คำถาม
มีสูตรเซรั่มที่ต้องการสอบถามคำแนะนำในประเด็นต่อไปนี้ค่ะ:
1. สูตรนี้สามารถทำเป็นเซรั่มได้หรือไม่? pH เหมาะสมกับผิวหน้าไหม?
2. ควรผสมส่วนผสมก่อนหลังอย่างไรดี? สามารถผสมทีละตัวได้เลยไหม?
3. สามารถเพิ่ม Sodium PCA ที่ 5% และ Sodium Lactate ที่ 2% ได้หรือไม่?
4. Rose Hip Oil ที่เก็บไว้นอกตู้เย็นยังใช้ได้หรือไม่?
คำตอบ
รีวิวสูตรเซรั่มและคำแนะนำ
จากสูตรที่คุณให้มาและปัญหาผิวของคุณ นี่คือรีวิวและคำแนะนำบางส่วนค่ะ
1. สูตรนี้สามารถทำเป็นเซรั่มได้หรือไม่? pH เหมาะสมกับผิวหน้าไหม?
ส่วนผสมที่คุณระบุมาสามารถนำมาทำเป็นเซรั่มได้ค่ะ ซึ่งเซรั่มมักจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเบสเป็นน้ำและมีส่วนผสมออกฤทธิ์เข้มข้น การผสมผสานส่วนผสมเหล่านี้จะช่วยดูแลปัญหาผิวหลายด้าน เช่น ความกระจ่างใส การลดเลือนริ้วรอย และความชุ่มชื้น
สำหรับค่า pH นั้น Ascorbyl Glucoside (Liquid AA2G™) จะมีความเสถียรสูงสุดในช่วง pH 6.5-6.8 แม้ว่าเบสของสูตรอาจจะมีสภาพเป็นกรดอ่อนๆ ตามที่ได้มีการตอบไปก่อนหน้านี้ คุณจะต้องทำการวัดค่า pH หลังจากผสมส่วนผสมทั้งหมดแล้ว และปรับค่า pH ด้วย Triethanolamine ให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสมสำหรับความเสถียรของ Ascorbyl Glucoside (6.5-6.8) ช่วง pH นี้โดยทั่วไปแล้วเหมาะสมกับผิวหน้าค่ะ แม้ว่าส่วนผสมออกฤทธิ์บางชนิดจะทำงานได้ดีที่สุดใน pH ที่ต่ำกว่า แต่การให้ความสำคัญกับความเสถียรของ Ascorbyl Glucoside เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
2. ควรผสมส่วนผสมก่อนหลังอย่างไรดี? สามารถผสมทีละตัวได้เลยไหม?
สำหรับส่วนผสมที่ละลายน้ำได้ส่วนใหญ่ในสูตรของคุณ (Ascorbyl Glucoside, Glucosamine, Vitamin B3, Alpha Arbutin, Phenoxyethanol, Apple Stem Cell Extract, MYFerment™ Balance, Sodium PCA, Sodium Lactate) ลำดับการผสมโดยทั่วไปไม่สำคัญมากนัก ตราบใดที่ส่วนผสมนั้นละลายในเฟสน้ำจนหมด คุณสามารถทยอยเติมทีละตัวลงในเฟสน้ำได้ โดยให้แน่ใจว่าแต่ละตัวละลายหมดก่อนเติมตัวถัดไป
อย่างไรก็ตาม มีข้อควรทราบเล็กน้อย:
- Ascorbyl Glucoside (Liquid AA2G™): ส่วนผสมนี้มีสภาพเป็นกรด และความเสถียรขึ้นอยู่กับค่า pH อย่างมาก (เหมาะสมที่ 6.5-6.8) แนะนำให้ผสมลงในเฟสน้ำแล้วจึงค่อยปรับค่า pH ให้อยู่ในช่วงเป้าหมายโดยใช้ Triethanolamine บางแหล่งแนะนำให้ใช้ Citrate Buffer หรือ L-Arginine ในการละลาย AA2G เพื่อช่วยจัดการกับค่า pH ที่ต่ำในตอนแรก แต่การปรับด้วย Triethanolamine ในภายหลังก็ยังจำเป็นเพื่อให้ได้ค่า pH ที่เสถียร
- อุณหภูมิ: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุณหภูมิของเฟสน้ำต่ำกว่า 50°C เมื่อเติม Ascorbyl Glucoside และต่ำกว่า 40°C เมื่อเติม Apple Stem Cell Extract และ MYFerment™ Balance เพื่อรักษาประสิทธิภาพ
- การเพิ่มความหนืด: ตามคำแนะนำในการตอบก่อนหน้านี้ คุณอาจพิจารณาเพิ่มสารก่อเจล (เช่น Xanthan Gum ซึ่งไม่ได้อยู่ในสูตรของคุณ แต่เป็นที่นิยมใช้) เพื่อให้เซรั่มมีเนื้อสัมผัสที่หนืดขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ใช้ง่ายและไม่สิ้นเปลืองเท่าเนื้อน้ำใสๆ
- Phenoxyethanol: สารกันเสียนี้สามารถเติมได้ในขั้นตอนใดก็ได้ แต่อุณหภูมิควรต่ำกว่า 80°C
แนวทางการผสมโดยทั่วไปอาจเป็นดังนี้: ละลายส่วนผสมที่ละลายน้ำได้ (ยกเว้นตัวที่ไวต่อความร้อนสูง) ในเฟสน้ำ เติมส่วนผสมที่ไวต่ออุณหภูมิ (Apple Stem Cell Extract, MYFerment™ Balance) เมื่อส่วนผสมเย็นลงต่ำกว่าอุณหภูมิสูงสุดที่แนะนำ เติม Phenoxyethanol สุดท้าย วัดและปรับค่า pH ให้อยู่ในช่วง 6.5-6.8 โดยใช้ Triethanolamine
3. สามารถเพิ่ม Sodium PCA และ Sodium Lactate ได้หรือไม่?
คุณมี Sodium PCA และ Sodium Lactate และสอบถามว่าจะสามารถเพิ่มเข้าไปในสูตรได้หรือไม่ในอัตรา 5% และ 2% ตามลำดับ ทั้ง Sodium PCA และ Sodium Lactate เป็นสารให้ความชุ่มชื้นที่ดีเยี่ยม (Humectants) และเป็นส่วนหนึ่งของ Natural Moisturizing Factor (NMF) ที่พบตามธรรมชาติในผิว Sodium Lactate ยังสามารถช่วยให้ผิวกระจ่างใสขึ้นอย่างอ่อนโยนได้เมื่อใช้ในความเข้มข้นที่สูงขึ้น (มากกว่า 3%)
เมื่อพิจารณาจากสภาพผิวของคุณ (ผิวผสม, มันช่วงทีโซน) การเพิ่ม Sodium PCA ที่ 5% (ซึ่งสูงกว่าอัตราที่แนะนำทั่วไปที่ 0.5-2%) และ Sodium Lactate ที่ 2% อาจทำให้เซรั่มให้ความชุ่มชื้นมากเกินไป และอาจทำให้ผิวมันบริเวณทีโซนมากขึ้นได้ ตามที่ได้มีการกล่าวถึงในการตอบก่อนหน้านี้ แม้ว่าส่วนผสมเหล่านี้จะให้ประโยชน์ด้านความชุ่มชื้นที่ดีเยี่ยม แต่ควรพิจารณาว่าผิวของคุณต้องการความชุ่มชื้นเพิ่มเติมมากขนาดนี้จริงหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีส่วนผสมให้ความชุ่มชื้นอื่นๆ อยู่ในสูตรแล้ว (เช่น Glucosamine)
หากคุณตัดสินใจที่จะเพิ่มส่วนผสมทั้งสองนี้ อัตราการใช้ที่แนะนำสำหรับ Sodium PCA คือ 0.5-2% และสำหรับ Sodium Lactate คือ 2-10% การเพิ่ม Sodium PCA ที่ 5% อาจมากเกินไปสำหรับผิวผสม การเพิ่ม Sodium Lactate ที่ 2% ยังอยู่ในช่วงการให้ความชุ่มชื้นทั่วไป
ลองพิจารณาเริ่มต้นโดยไม่ใส่ส่วนผสมทั้งสองนี้ หรือใส่ในความเข้มข้นที่ต่ำลงก่อน (เช่น Sodium PCA 1-2% และ Sodium Lactate 2%) และสังเกตปฏิกิริยาของผิว หากผิวรู้สึกสมดุลและไม่มันเยิ้มเกินไป คุณอาจลองเพิ่มความเข้มข้นของ Sodium Lactate เพื่อผลในการปรับสีผิวให้กระจ่างใสขึ้นได้ แต่ควรระวังการระคายเคืองหากใช้เกิน 3% และอย่าลืมใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดร่วมด้วย
4. Rose Hip Oil ที่เก็บไว้นอกตู้เย็นยังใช้ได้หรือไม่?
Rose Hip Oil โดยเฉพาะเกรด Virgin หรือ Extra Virgin มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง ซึ่งไวต่อการเกิดออกซิเดชันเมื่อสัมผัสกับความร้อน แสง และอากาศ แม้ว่าการเก็บในที่แห้งและมืดที่อุณหภูมิห้องจะดีกว่าการโดนแสงแดดหรือความร้อนโดยตรง แต่โดยทั่วไปแล้วแนะนำให้เก็บในตู้เย็นสำหรับการเก็บรักษาระยะยาวเพื่อคงความสดและประสิทธิภาพ
การเก็บไว้นอกตู้เย็นเป็นเวลาหนึ่งเดือน แม้จะอยู่ในที่แห้งและมืด ก็หมายความว่าน้ำมันได้สัมผัสกับสภาวะที่เร่งการเสื่อมสภาพเมื่อเทียบกับการเก็บในตู้เย็น น้ำมันอาจจะยังคงใช้ได้อยู่ แต่คุณภาพ (ความเข้มข้นและประสิทธิภาพ) อาจลดลง สัญญาณที่บ่งบอกว่าน้ำมันเสียแล้ว ได้แก่ มีกลิ่นผิดปกติ (หืน หรือคล้ายสีทาบ้าน) สีเปลี่ยนไป (เข้มขึ้น หรือขุ่น) หรือเนื้อสัมผัสเปลี่ยนไป
หากน้ำมันยังมีกลิ่นและลักษณะปกติ คุณอาจลองใช้ในปริมาณเล็กน้อยบนผิวบริเวณเล็กๆ (เช่น ท้องแขน) เพื่อดูว่ามีอาการแพ้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและความปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้กับปัญหาผิว เช่น ริ้วรอยและรอยคล้ำใต้ตา ควรใช้น้ำมันที่สดใหม่และเก็บรักษาอย่างถูกต้อง หากไม่แน่ใจในสภาพของน้ำมัน อาจปลอดภัยกว่าที่จะทิ้งไปและใช้ขวดใหม่ที่เก็บในตู้เย็นหลังจากเปิดใช้ค่ะ
การดูแลปัญหาผิวของคุณด้วยสูตรนี้
ส่วนผสมในเซรั่มที่คุณเสนอมาสามารถช่วยดูแลปัญหาผิวของคุณได้ดังนี้:
- ผิวหมองคล้ำและสีผิวไม่สม่ำเสมอ: Ascorbyl Glucoside (Liquid AA2G™) และ Alpha Arbutin เป็นสารที่ช่วยให้ผิวกระจ่างใสอย่างมีประสิทธิภาพ โดยทำงานเพื่อลดการผลิตเม็ดสีเมลานินและปรับสีผิวโดยรวมให้สม่ำเสมอขึ้น Vitamin B3 (Niacinamide) ยังช่วยลดรอยแดง/รอยดำ และปรับผิวให้ดูกระจ่างใสขึ้น
- รอยคล้ำใต้ตาและริ้วรอย: Vitamin B3 เป็นที่ทราบกันว่าช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิต ซึ่งสามารถลดรอยคล้ำใต้ตาได้ ทั้ง Vitamin B3 และ Apple Stem Cell Extract มีคุณสมบัติต่อต้านริ้วรอยที่สามารถช่วยลดเลือนเส้นริ้วและริ้วรอยได้
- สิวและความมัน: Vitamin B3 สามารถช่วยควบคุมการผลิตน้ำมัน (Sebum) ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับทีโซนที่มันของคุณและช่วยเรื่องสิวได้ MYFerment™ Balance (Bioyeast) ยังมีคุณสมบัติที่อาจช่วยเรื่องสิวและปรับสมดุลจุลินทรีย์บนผิวได้
- รูขุมขนกว้าง: Vitamin B3 ยังสามารถช่วยปรับปรุงลักษณะของรูขุมขนที่กว้างได้
โปรดจำไว้ว่าควรทดสอบผลิตภัณฑ์ใหม่บนผิวบริเวณเล็กๆ ก่อนใช้ทั่วใบหน้าเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณกังวลเรื่องความไวต่อส่วนผสมหรือปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้นกับส่วนผสมอย่าง Alpha Arbutin
สูตรนี้ดูเหมือนจะเป็นเซรั่มที่ครอบคลุมและดูแลปัญหาผิวได้หลายด้าน ให้ความสำคัญกับการปรับค่า pH เพื่อความเสถียรสูงสุดของ AA2G และพิจารณาความต้องการความชุ่มชื้นของผิวก่อนเพิ่มสารให้ความชุ่มชื้นพิเศษอย่าง Sodium PCA และ Sodium Lactate ค่ะ
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Alpha Arbutin (Switzerland)

Safe-B3™ (Vitamin B3, Niacinamide)

GlucoBright™ (Acetyl Glucosamine)

Triethanolamine 99%

Sodium Lactate (60% Liquid, Natural)

Phenoxyethanol (Extra Pure)

Sodium PCA 50%

Ascorbyl Glucoside (AA-2G Stabilized Vitamin C)

Rose Hip Oil (Virgin, Fresh)

Apple Stem Cell Extract (AppleCell™ Powder)

Rose Hip Oil (Extra Virgin)
