การวิเคราะห์สูตรเซรั่มของคุณ

เป็นเรื่องที่ดีมากที่คุณกำลังทดลองสร้างสูตรเครื่องสำอางด้วยตัวเอง! ลองมาดูสูตรเซรั่มที่คุณให้มานะครับ:

• Cyclomethicone 55%
• Water 20%
• Warp Cream Maker 4%
• Alpha Arbutin 2%
• Niacinamide 5%
• DMAE bitartrate 4%
• Tocopheryl acetate 3%
• Lift now 2%
• Double hyaluronate liquid 2%
• Cyanocobalamin 2%
• Allantoin 0.2%
• Phenoxyethanol 0.8%

นี่คือการวิเคราะห์ตามคำถามของคุณครับ:

1. การผสมที่อุณหภูมิห้อง

ใช่ สูตรนี้สามารถทำได้ที่อุณหภูมิห้องโดยไม่จำเป็นต้องใช้หม้อต้ม ส่วนผสมส่วนใหญ่เป็นของเหลวที่อุณหภูมิห้อง หรือเป็นผงที่ละลายน้ำได้ซึ่งสามารถละลายในส่วนของน้ำได้ อิมัลซิไฟเออร์ Warp Cream Maker ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างอิมัลชันแบบ Water-in-silicone/oil และคำแนะนำในการใช้งานระบุให้ผสมส่วนของน้ำมัน/ซิลิโคนกับอิมัลซิไฟเออร์ก่อน จากนั้นค่อยๆ เติมส่วนของน้ำลงไปพร้อมกับปั่นด้วยความเร็วสูง (อย่างน้อย 1000 รอบต่อนาที) ตราบใดที่ Tocopheryl acetate ของคุณเป็นของเหลวที่อุณหภูมิห้องและเข้ากันได้ดีกับ Cyclomethicone การให้ความร้อนก็ไม่จำเป็นอย่างเคร่งครัด และการหลีกเลี่ยงความร้อนก็เป็นผลดีต่อความเสถียรของส่วนผสมที่ไวต่อความร้อน เช่น Alpha Arbutin และ Cyanocobalamin

2. ความลงตัวของเนื้อสารและการละลาย

• การละลาย: ส่วนของน้ำมีส่วนผสมที่ละลายน้ำได้ในความเข้มข้นสูง (Alpha Arbutin, Niacinamide, DMAE bitartrate, Lift now, Double hyaluronate liquid, Cyanocobalamin, Allantoin, Phenoxyethanol) ด้วยน้ำเพียง 20% ความเข้มข้นรวมของของแข็งที่ละลายน้ำได้ค่อนข้างสูง (ประมาณ 16%) แม้ว่าส่วนผสมเหล่านี้ส่วนใหญ่จะละลายได้ แต่ปริมาณที่สูงในส่วนของน้ำที่น้อย อาจนำไปสู่ปัญหาการละลายหรือความไม่เสถียรเมื่อเวลาผ่านไป เช่น การตกตะกอน หรือความขุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากค่า pH ไม่เหมาะสมกับส่วนผสมทั้งหมดพร้อมกัน Allantoin ที่ 0.2% อยู่ในขีดจำกัดการละลายในน้ำที่อุณหภูมิห้อง
• เนื้อสาร: Cyclomethicone ในปริมาณสูง (55%) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เนื้อสัมผัสที่บางเบา แห้ง และนุ่มลื่น ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของเซรั่มที่มีซิลิโคนเป็นส่วนประกอบหลัก อิมัลซิไฟเออร์ Warp Cream Maker ก็ช่วยให้เนื้อสัมผัสซึมซาบเร็วและให้ความรู้สึกแห้ง อย่างไรก็ตาม Tocopheryl acetate (3%) และ DMAE bitartrate (4%) ในความเข้มข้นสูง มีแนวโน้มที่จะส่งผลเสียต่อเนื้อสัมผัสที่บางเบา Tocopheryl acetate อาจทำให้รู้สึกเหนอะหนะที่ความเข้มข้นสูงกว่า 0.5% และ DMAE bitartrate อาจทำให้รู้สึก "เหนียวเหนอะหนะ" ที่เปอร์เซ็นต์สูง (สูงกว่า 5% แต่ 4% ก็ใกล้เคียง) การรวมกันของส่วนผสมเหล่านี้ในปริมาณดังกล่าว อาจทำให้ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปมีความรู้สึกเหนอะหนะหรือหนักกว่าที่ตั้งใจไว้ แม้ว่าจะมี Cyclomethicone ในปริมาณสูงก็ตาม

3. การปรับปรุงหากมีความไม่เหมาะสม

เพื่อแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับการละลายและเนื้อสัมผัส:

• การละลาย: หากคุณพบปัญหาการละลายหรือความไม่เสถียรในส่วนของน้ำ คุณอาจพิจารณาเพิ่มเปอร์เซ็นต์ของน้ำเล็กน้อย หรือเพิ่มตัวทำละลายร่วม (co-solvent) เช่น Propylene Glycol เข้าไปเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม การเพิ่มส่วนของน้ำอย่างมีนัยสำคัญจะทำให้สัดส่วน Water-in-silicone/oil เปลี่ยนไป และอาจต้องปรับระดับอิมัลซิไฟเออร์ หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนระบบอิมัลซิไฟเออร์ทั้งหมด
• เนื้อสาร: การปรับปรุงเนื้อสัมผัสที่สำคัญที่สุดคือการปรับระดับของ Tocopheryl acetate และ DMAE bitartrate พิจารณาลด Tocopheryl acetate ให้อยู่ในช่วงที่แนะนำคือ 0.1-1% (ควรต่ำกว่า 0.5% เพื่อไม่ให้เหนอะหนะ) และ DMAE bitartrate ให้อยู่ที่ 3% หรือต่ำกว่า หากคุณต้องการใช้ส่วนผสมเหล่านี้ในระดับที่สูงขึ้น คุณอาจต้องพิจารณาระบบอิมัลซิไฟเออร์ที่แตกต่างออกไป หรือเพิ่มส่วนผสมที่ช่วยลดความเหนอะหนะในสูตรที่มีสารออกฤทธิ์สูง (เช่น ซิลิโคนบางชนิด หรือโพลิเมอร์)
• ความเสถียร: ตามคำแนะนำสำหรับ Warp Cream Maker ควรพิจารณาเพิ่ม Magnesium Sulfate 1% ในส่วนของน้ำ เพื่อช่วยเพิ่มความเสถียรของอิมัลชันและลดโอกาสการแยกชั้น

โดยรวมแล้ว แม้ว่าสูตรนี้อาจสามารถทำได้ที่อุณหภูมิห้องด้วยอุปกรณ์ที่เหมาะสม แต่ความเข้มข้นสูงของส่วนผสมบางชนิดอาจทำให้เกิดปัญหาด้านเนื้อสัมผัสได้ การปรับระดับของ Tocopheryl acetate และ DMAE bitartrate เป็นสิ่งที่แนะนำเพื่อให้เนื้อสัมผัสดีขึ้นเมื่อทาลงบนผิว