ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับสูตร

เซรั่มที่คุณเสนอมามีส่วนผสมออกฤทธิ์หลายชนิดที่ดีเยี่ยมในการจัดการกับรอยแดง รอยดำ และช่วยให้ผิวกระจ่างใส อย่างไรก็ตาม การรวมส่วนผสมทั้งหมดนี้เข้าด้วยกันในความเข้มข้นที่คุณระบุไว้ จะทำให้เกิดความท้าทายอย่างมากในการพัฒนาสูตร และมีความเสี่ยงที่จะเกิดการระคายเคืองผิวและความไม่เสถียรของผลิตภัณฑ์

ปัญหาความเข้ากันได้ที่อาจเกิดขึ้น

ความท้าทายหลักของสูตรนี้คือ ความไม่เข้ากันของค่า pH ระหว่างส่วนผสมออกฤทธิ์หลักบางชนิด:

• L-Ascorbic Acid (วิตามินซี) จะมีความเสถียรและมีประสิทธิภาพสูงสุดที่ค่า pH ต่ำ โดยทั่วไปอยู่ระหว่าง 2.0 ถึง 4.0 (และค่า pH ขั้นต่ำ 3.5-4.0 สำหรับเครื่องสำอางที่ทาบนผิวตามข้อกำหนดของ อย.)
• Copper Peptide (GHK-Cu) ต้องการช่วงค่า pH ที่สูงกว่ามากเพื่อความเสถียร โดยเฉพาะระหว่าง 4.5 ถึง 7.4

การพยายามสร้างเซรั่มเพียงสูตรเดียวที่คงความเสถียรของ L-Ascorbic Acid ที่ค่า pH ต่ำ ในขณะที่ยังคงความเสถียรของ Copper Peptide ที่ค่า pH สูงกว่านั้นเป็นไปไม่ได้ การรวมส่วนผสมเหล่านี้ในสูตรที่มีค่า pH ที่เหมาะสมสำหรับส่วนผสมหนึ่ง จะส่งผลกระทบต่อความเสถียรและประสิทธิภาพของอีกส่วนผสมหนึ่ง

นอกจากนี้ Niacinamide (Safe B3) แม้จะมีช่วงค่า pH ที่กว้างในการทำงาน (3-8) แต่จะมีความเสถียรสูงสุดและมีโอกาสน้อยที่สุดที่จะทำให้เกิดอาการแดง (Flushing) ที่ค่า pH ระหว่าง 4.0 ถึง 7.0 ค่า pH ที่ต่ำมากซึ่งจำเป็นสำหรับ L-Ascorbic Acid อาจทำให้ Niacinamide สลายตัวเป็น Niacin เมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งนำไปสู่อาการแดงบนผิวได้

ความเข้มข้นของส่วนผสมออกฤทธิ์ที่สูงเกินไป

ความเข้มข้นรวมของส่วนผสมออกฤทธิ์ในสูตรของคุณสูงมาก (55%) แม้ว่าส่วนผสมเหล่านี้หลายชนิดจะมีประโยชน์ แต่การรวมทั้งหมดเข้าด้วยกันในเปอร์เซ็นต์ที่สูง จะเพิ่มโอกาสอย่างมากในการเกิด:

• การระคายเคืองผิวและความไวต่อผิว: ส่วนผสมอย่าง Mandelic Acid, Willow Bark Extract (ซึ่งมี Salicylic Acid), วิตามินซีความเข้มข้นสูง และแม้แต่ Niacinamide ที่ 10% อาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้ โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกันในผลิตภัณฑ์เดียว
• เกราะป้องกันผิวอ่อนแอลง: การผลัดเซลล์ผิวที่มากเกินไปจาก Mandelic Acid และ Willow Bark ความเข้มข้นสูง อาจทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอลง นำไปสู่ความไวต่อผิวที่เพิ่มขึ้น รอยแดง และความแห้งกร้าน
• ความไม่เสถียรของสูตร: ความเข้มข้นสูงของส่วนผสมออกฤทธิ์หลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนผสมที่มีความต้องการค่า pH ที่ขัดแย้งกัน ทำให้ยากต่อการสร้างผลิตภัณฑ์ที่เสถียรในระยะยาว

ความเข้มข้นของ Tranexamic Acid

คุณใส่ Tranexamic Acid ที่ 5% ตามคำอธิบายผลิตภัณฑ์ อัตราการใช้ทั่วไปสำหรับเครื่องสำอางคือไม่เกิน 3% การใช้ 5% อาจทำให้ผลิตภัณฑ์ถูกจัดเป็นยารักษาฝ้า ซึ่งต้องพิจารณาด้านกฎระเบียบที่แตกต่างกัน และเพิ่มความเสี่ยงของการระคายเคือง

ข้อแนะนำ

เพื่อให้ได้เซรั่มที่เสถียร มีประสิทธิภาพ และระคายเคืองน้อยลง ในขณะที่ยังคงเป้าหมายในการลดรอยดำและรอยแดง ลองพิจารณาการปรับเปลี่ยนดังนี้:

1. แยกส่วนผสมที่ไม่เข้ากัน: เนื่องจากปัญหาความไม่เข้ากันของค่า pH อย่างมีนัยสำคัญ จึงขอแนะนำอย่างยิ่ง ไม่ให้ รวม L-Ascorbic Acid และ Copper Peptide ในสูตรเดียวกัน คุณสามารถสร้างเซรั่มแยกกันสองสูตร:

   • เซรั่มที่ 1 (ค่า pH ต่ำ): เน้น L-Ascorbic Acid (วิตามินซี), Mandelic Acid, Alpha Arbutin และ Tranexamic Acid (ที่ 3% หรือน้อยกว่า) เซรั่มนี้จะต้องมีค่า pH ต่ำ (ประมาณ 3.5-4.0) Niacinamide และ Willow Bark อาจรวมอยู่ด้วยได้ แต่ควรพิจารณาและทดสอบความเสถียรและโอกาสในการระคายเคืองที่ค่า pH ต่ำนี้อย่างรอบคอบ
   • เซรั่มที่ 2 (ค่า pH สูง): เน้น Copper Peptide, Niacinamide (Safe B3), Willow Bark Extract, Alpha Arbutin และ Tranexamic Acid (ที่ 3% หรือน้อยกว่า) เซรั่มนี้จะทำงานได้ดีที่สุดที่ค่า pH ระหว่าง 4.5 ถึง 6.5

2. ลดความเข้มข้นรวมของส่วนผสมออกฤทธิ์: แม้ว่าคุณจะแยกส่วนผสมที่ไม่เข้ากันแล้ว ความเข้มข้นรวมของส่วนผสมออกฤทธิ์ในแต่ละเซรั่มก็ควรลดลงเพื่อลดการระคายเคือง เลือกส่วนผสมที่สำคัญที่สุดสำหรับเป้าหมายของคุณ สำหรับการลดรอยดำและรอยแดง การผสมผสานระหว่าง Niacinamide, Alpha Arbutin, Tranexamic Acid (ที่ 3%) และอาจมีสารผลัดเซลล์ผิวหนึ่งชนิด เช่น Mandelic Acid หรือ Willow Bark ในความเข้มข้นที่ต่ำลง (เช่น 5% แต่ละชนิด) ก็ยังคงมีประสิทธิภาพสูงโดยไม่รุนแรงเกินไป Copper Peptide สามารถรวมได้ที่ 1-3% ในสูตรหรือขั้นตอนการดูแลผิวที่แยกต่างหาก

3. ปรับความเข้มข้น:

   • ลด Tranexamic Acid เหลือ 3% หรือน้อยกว่า
   • พิจารณาลดความเข้มข้นของ Mandelic Acid และ Willow Bark Extract หากใช้ร่วมกัน หรือเลือกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งในความเข้มข้นปานกลาง (เช่น 5-8%)
   • แม้ว่า Safe B3 (Niacinamide) สามารถใช้ได้ถึง 10% แต่ลองพิจารณาว่าความเข้มข้นที่ต่ำกว่า (เช่น 5%) อาจเพียงพอเมื่อใช้ร่วมกับส่วนผสมออกฤทธิ์อื่นๆ ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยลดโอกาสในการระคายเคืองได้อีก
   • คง Alpha Arbutin ไว้ที่ 2% ตามแผน เนื่องจากเป็นความเข้มข้นที่มีประสิทธิภาพที่แนะนำ
   • หากใช้ L-Ascorbic Acid 15% เป็นความเข้มข้นที่สูงแต่มีประสิทธิภาพในการทำให้ผิวกระจ่างใส แต่ต้องมีการควบคุมค่า pH อย่างระมัดระวังและพิจารณาส่วนผสมอื่นๆ

โดยสรุป สูตรที่คุณเสนอมามีการผสมผสานส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพ แต่เผชิญกับความท้าทายอย่างมากในด้านความเข้ากันได้ของค่า pH และความเข้มข้นรวมที่สูง ซึ่งมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่ความไม่เสถียรและการระคายเคือง ขอแนะนำให้ปรับปรุงสูตรให้เรียบง่ายขึ้น ลดความเข้มข้นของส่วนผสมออกฤทธิ์บางชนิด และอาจแยกส่วนผสมที่ไม่เข้ากันออกเป็นผลิตภัณฑ์ที่แยกต่างหากซึ่งใช้ในเวลาที่ต่างกัน การเน้นเซรั่มที่พัฒนาขึ้นอย่างดีโดยมีส่วนผสมออกฤทธิ์ที่เข้ากันได้น้อยลงในความเข้มข้นที่เหมาะสม จะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าและปลอดภัยกว่าสำหรับการลดรอยดำและรอยแดง.