สูตรบำรุงผิวกาย: ปัญหา pH, ความเสถียร และการกันเสีย

ถามโดย: majiza_kk เมื่อ: November 30, 2013 ประเภทผลิตภัณฑ์: เครื่องสำอาง

คำถาม

กำลังพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกายเบสน้ำ โดยมีส่วนผสมและสัดส่วนดังนี้:

  • Lactic Acid (AHA) 15%
  • Urea 15%
  • Vitamin B3 (Niacinamide) 3%
  • Glucosamine (N-acetyl-D) 4%
  • Vitamin C (L-ascorbic acid) 7%

รบกวนช่วยให้คำแนะนำเกี่ยวกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับสูตรนี้ เช่น ปัญหาค่า pH, ความเสถียรของส่วนผสม (โดยเฉพาะ L-ascorbic acid และ Urea) และการตกตะกอน รวมถึงขั้นตอนการผสมที่ถูกต้อง และมีส่วนผสมจำเป็นอื่นใดที่ต้องเพิ่มหรือไม่ เช่น สารกันเสีย หรือสารช่วยจับประจุโลหะ?

คำตอบ

การวิเคราะห์สูตรและคำแนะนำ

สูตรที่คุณเสนอมามีส่วนผสมที่ดีสำหรับการดูแลผิวกายในเรื่องความขาวและชุ่มชื้น แต่มีข้อควรพิจารณาที่สำคัญเพื่อให้สูตรมีความเสถียร ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูงสุดค่ะ

ส่วนผสมและการทำงาน:

  • Lactic Acid (AHA) 15%: ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า ทำให้ผิวเรียบเนียนและกระจ่างใสขึ้น การใช้ที่ความเข้มข้น 15% ถือว่าค่อนข้างสูงสำหรับการใช้เองโดยทั่วไป (อย. กำหนดไม่เกิน 10% ที่ pH ไม่ต่ำกว่า 3.5 สำหรับผู้บริโภค) และจะทำให้สูตรมีค่า pH ต่ำมาก ซึ่งจำเป็นต้องปรับ pH เพื่อความปลอดภัยของผิว
  • Urea 15%: ที่ความเข้มข้นนี้ Urea มีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิวและให้ความชุ่มชื้นได้ดีเยี่ยม อย่างไรก็ตาม ความเข้มข้น 15% อาจทำให้เกิดปัญหาเรื่องความเสถียรของ Urea ในสูตรที่เป็นกรดต่ำได้ และอาจต้องใช้สารช่วยเพิ่มความเสถียร
  • Vitamin B3 (Niacinamide) 3%: ช่วยลดรอยดำ เสริมเกราะป้องกันผิว และทำงานเสริมฤทธิ์กับ Glucosamine ในเรื่องความกระจ่างใส การเพิ่มความเข้มข้นเป็น 5% ตามคำแนะนำเดิม จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้ดีขึ้นสำหรับผิวกาย
  • Glucosamine (N-acetyl-D) 4%: ทำงานร่วมกับ Vitamin B3 ได้ดีในการลดจุดด่างดำและเพิ่มความกระจ่างใส นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการสร้าง Hyaluronic Acid ตามธรรมชาติในผิว เพิ่มความชุ่มชื้น
  • Vitamin C (L-ascorbic acid) 7%: เป็นสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยให้ผิวกระจ่างใส อย่างไรก็ตาม L-ascorbic acid ไม่เสถียรในน้ำและสลายตัวได้ง่ายมาก จำเป็นต้องใช้ในสูตรที่มี pH ต่ำ (ประมาณ 2.0-4.0) และต้องใช้ Disodium EDTA ช่วยจับประจุโลหะเพื่อป้องกันการสลายตัว

ข้อควรพิจารณาและคำแนะนำ:

  1. การปรับค่า pH: นี่คือจุดที่สำคัญที่สุดในสูตรนี้ การผสม Lactic Acid และ L-ascorbic acid จะทำให้สูตรมี pH ต่ำมาก ซึ่งอาจต่ำกว่า 3.5 ซึ่งเป็นค่า pH ขั้นต่ำที่ อย. กำหนดสำหรับผลิตภัณฑ์ทาผิว และอาจทำให้ผิวระคายเคืองอย่างรุนแรงได้ คุณจำเป็นต้องปรับค่า pH ของสูตรให้สูงขึ้นอย่างน้อย 3.5 (และไม่ควรเกิน 4.0 เพื่อให้ L-ascorbic acid ยังคงทำงานได้ดี) โดยใช้สารปรับ pH ที่เป็นด่าง เช่น สารละลาย Sodium Hydroxide การวัดและปรับ pH ต้องใช้เครื่องวัด pH Meter
  2. ความเข้มข้นของ Urea: 15% อยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ผลัดเซลล์ผิวได้ แต่ Urea อาจไม่เสถียรในสูตรที่มี pH ต่ำมาก หากต้องการใช้ 15% อาจต้องพิจารณาเพิ่มสารช่วยเพิ่มความเสถียรของ Urea เช่น Gluconolactone (ประมาณ 15% ของปริมาณ Urea) หรือ Triacetin (อัตราส่วน 1:10 ของ Urea) หรือลดความเข้มข้นของ Urea ลงมาที่ 5-10% เพื่อให้จัดการได้ง่ายขึ้น
  3. ความเสถียรของ Vitamin C (L-ascorbic acid): แม้จะปรับ pH แล้ว L-ascorbic acid ก็ยังคงสลายตัวในน้ำได้เมื่อเวลาผ่านไป โดยเฉพาะเมื่อเจอแสง ความร้อน หรือออกซิเจน การใช้ Disodium EDTA (0.1-0.2%) เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อช่วยป้องกันการสลายตัวจากไอออนโลหะในน้ำ และควรเก็บผลิตภัณฑ์ในที่เย็น มืด และปิดภาชนะให้สนิท หากต้องการความเสถียรสูง อาจพิจารณาใช้ Vitamin C รูปแบบอื่นที่เสถียรกว่า เช่น Ethyl Ascorbic Acid หรือ Ascorbyl Glucoside ในการทำครั้งต่อไป
  4. สารกันเสีย (Preservative): สูตรนี้เป็นสูตรน้ำ มีส่วนผสมหลายชนิด และไม่ได้ทำเนื้อให้ข้น ซึ่งเสี่ยงต่อการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใส่สารกันเสีย เช่น Phenoxyethanol (Sepicide LD®) ในปริมาณ 0.5-1.0% เพื่อป้องกันไม่ให้ผลิตภัณฑ์เสียและเป็นอันตรายต่อผิว
  5. Disodium EDTA: ควรใส่ Disodium EDTA (0.1-0.2%) เพื่อช่วยเพิ่มความเสถียรของ Vitamin C และส่วนผสมอื่นๆ โดยควรละลายในน้ำก่อนใส่ส่วนผสมอื่น
  6. การตกตะกอน: หากส่วนผสมไม่ละลายหมด หรือเกิดการสลายตัวของ L-ascorbic acid อาจเกิดการตกตะกอนได้ การละลายส่วนผสมให้เข้ากันดี และการควบคุม pH และการเก็บรักษาที่เหมาะสมจะช่วยลดปัญหานี้ได้
  7. การผสมกับน้ำอุณหภูมิปกติ: ส่วนผสมส่วนใหญ่สามารถละลายในน้ำอุณหภูมิปกติได้ อาจใช้ความร้อนต่ำๆ (ไม่เกิน 60°C ชั่วคราว) ช่วยในการละลาย Urea ได้ แต่ L-ascorbic acid ควรเติมลงในขั้นตอนสุดท้ายหลังจากส่วนผสมอื่นๆ เย็นลงต่ำกว่า 30°C เพื่อรักษาประสิทธิภาพ

สรุปคำแนะนำสำหรับสูตรของคุณ:

  • ปรับความเข้มข้น: พิจารณาเพิ่ม Vitamin B3 เป็น 5% และอาจลด Urea ลงเหลือ 5-10% เพื่อให้สูตรจัดการได้ง่ายขึ้น
  • เพิ่มสารจำเป็น: ต้อง เพิ่ม Disodium EDTA (0.2%) และ สารกันเสีย (เช่น Phenoxyethanol 0.5-1.0%)
  • ขั้นตอนการผสม:
    1. ละลาย Disodium EDTA ในน้ำ
    2. ละลาย Urea, Vitamin B3, Glucosamine ในน้ำ (อาจใช้ความร้อนต่ำๆ ช่วยละลาย Urea ได้)
    3. รอให้ส่วนผสมเย็นลงต่ำกว่า 30°C
    4. เติม L-ascorbic acid และคนหรือเขย่าจนละลายหมด
    5. เติมสารกันเสีย (Phenoxyethanol) และคนให้เข้ากัน
    6. วัดค่า pH และปรับด้วยสารละลายด่าง (เช่น Sodium Hydroxide) ให้ได้ค่า pH อยู่ในช่วง 3.5-4.0
  • การเก็บรักษา: เก็บในภาชนะทึบแสง ปิดสนิท และเก็บในตู้เย็นเพื่อยืดอายุการใช้งาน

สูตรนี้สามารถทำเป็นน้ำได้โดยไม่ต้องใส่สารสร้างเนื้อ แต่การควบคุม pH และการใส่สารกันเสียเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อให้สูตรปลอดภัยและมีประสิทธิภาพค่ะ

ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

GlucoBright™ (Acetyl Glucosamine)
GlucoBright™ (Acetyl Glucosamine)
เครื่องสำอาง
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Fine)
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Fine)
เครื่องสำอาง
Urea (High Purity, Cosmetics, Powder)
Urea (High Purity, Cosmetics, Powder)
เครื่องสำอาง
Disodium EDTA
Disodium EDTA
เครื่องสำอาง
Safe-B3™ (Vitamin B3, Niacinamide, Switzerland)
Safe-B3™ (Vitamin B3, Niacinamide, Switzerland)
เครื่องสำอาง
Lactic Acid (AHA) Neutralized
Lactic Acid (AHA) Neutralized
เครื่องสำอาง
Phenoxyethanol P5
Phenoxyethanol P5
เครื่องสำอาง