คำแนะนำสำหรับสูตรสกินแคร์ของคุณ

จากคำถามของคุณและคำแนะนำที่ได้รับ นี่คือคำอธิบายโดยละเอียดสำหรับผู้เริ่มต้น:

1. สูตรลอกผิว (Lactic Acid 30% + Glycolic Acid 20%)

การใช้ Lactic Acid และ Glycolic Acid ในความเข้มข้นสูงร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้เริ่มต้น ไม่แนะนำอย่างยิ่ง เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการระคายเคืองและความเสียหายต่อเกราะป้องกันผิว

• ความเข้มข้นและการใช้ร่วมกัน: การใช้ Lactic Acid 30% และ Glycolic Acid 20% พร้อมกันเป็นการรักษาที่รุนแรงมาก แนะนำให้ใช้ AHA เพียงชนิดเดียวในแต่ละครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเริ่มต้น การข้ามไปใช้ความเข้มข้น 20-30% ทันทีอาจทำให้ผิวรับไม่ไหว
• เริ่มต้นจากความเข้มข้นต่ำ: สำหรับผู้เริ่มต้น สิ่งสำคัญคือต้องเริ่มจากความเข้มข้นที่ต่ำกว่ามาก เช่น AHA 5-10% และค่อยๆ เพิ่มความเข้มข้นเมื่อผิวของคุณเริ่มปรับตัวได้
• ระยะเวลาในการทิ้งไว้: หากใช้ความเข้มข้นสูง (ซึ่งโดยทั่วไปควรอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ) ระยะเวลาในการทิ้งไว้ควรสั้นมาก โดยปกติเพียง 1-3 นาที ไม่ใช่ 5 นาที ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของผลิตภัณฑ์อย่างเคร่งครัดเสมอ
• สภาพผิวและปัญหาผิว: ความเข้มข้นสูง (20-30%) มักใช้สำหรับปัญหาผิวเฉพาะ เช่น ริ้วรอยที่ชัดเจน หรือจุดด่างดำที่ฝังแน่น และมักทำในคลินิก สำหรับการผลัดเซลล์ผิวทั่วไปหรือปรับปรุงสภาพผิว ความเข้มข้นที่ต่ำกว่าก็เพียงพอและปลอดภัยกว่า
• การป้องกันแสงแดด: ไม่ว่าคุณจะใช้ AHA ความเข้มข้นเท่าใด การทาครีมกันแดดที่มี SPF สูงเป็นประจำทุกวันและอย่างเคร่งครัดเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง การผลัดเซลล์ผิวด้วย AHA ทำให้ผิวของคุณไวต่อความเสียหายจากรังสี UV มากขึ้น

พิจารณาใช้ส่วนผสมเดี่ยวๆ เช่น Lactic Acid (มีจำหน่ายในความเข้มข้นต่างๆ รวมถึง 90% แบบน้ำ ซึ่งต้องนำไปเจือจาง) หรือ Glycolic Acid (มีจำหน่ายในรูปแบบผง 100% หรือสารละลายที่ไม่ระคายเคือง เช่น Ampho-Glycolic™) ควรเจือจางวัตถุดิบความเข้มข้นสูงอย่างเหมาะสมเสมอ และตรวจสอบอัตราการใช้ที่แนะนำและข้อกำหนดค่า pH สำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง (โดยทั่วไปค่า pH 3.5-4.0 สำหรับผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภค)

2. สูตรบำรุง/ปรับผิวขาวหลังลอกผิว

สูตรบำรุงหลังลอกผิวที่คุณเสนอ ซึ่งประกอบด้วย Glutathione, L-Ascorbic Acid (วิตามินซี), Alpha Arbutin, Tranexamic Acid, Double Hyaluronic Gel และ Disodium EDTA มีส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพในการปรับผิวให้กระจ่างใสและให้ความชุ่มชื้น

• ความเข้ากันของส่วนผสม: การรวมกันของ Glutathione, L-Ascorbic Acid, Alpha Arbutin และ Tranexamic Acid มักใช้เพื่อปรับผิวให้กระจ่างใสและจัดการกับรอยดำ Hyaluronic Acid (มีจำหน่ายในน้ำหนักโมเลกุลต่างๆ เช่น Standard Molecule และ Small Molecule หรือในรูปแบบ Hyaluronic Acid Gel Base ที่พร้อมใช้) ดีเยี่ยมสำหรับการให้ความชุ่มชื้น ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งหลังการผลัดเซลล์ผิว Disodium EDTA ทำหน้าที่เป็นสารคีเลต (chelating agent) เพื่อช่วยเพิ่มความคงตัวของสูตร
• ระดับค่า pH: ดังที่กล่าวไว้ สูตรที่มี L-Ascorbic Acid 15% มักจะมีค่า pH ต่ำ (โดยทั่วไปอยู่ระหว่าง 2.0-3.5 เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดของ L-Ascorbic Acid แม้ว่าข้อกำหนดด้านเครื่องสำอางมักจะกำหนดให้ผลิตภัณฑ์แบบทาทิ้งไว้มีค่า pH 3.5 ขึ้นไป) การใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นกรดกับผิวที่เพิ่งผ่านการลอกผิวอย่างรุนแรงอาจทำให้เกิดการระคายเคือง รอยแดง และความรู้สึกไม่สบายอย่างมาก
• ความทนทานของผิว: สิ่งสำคัญคือความทนทานของผิวคุณ หากคุณทำการลอกผิวที่รุนแรง เกราะป้องกันผิวของคุณจะอ่อนแอลงและไวต่อการระคายเคืองมากขึ้น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นกรดอีกชนิดหนึ่งทันทีอาจรุนแรงเกินไป
• การสังเกตเป็นสิ่งสำคัญ: คุณต้องใส่ใจอย่างใกล้ชิดกับปฏิกิริยาของผิว หากคุณรู้สึกแสบร้อน คัน รอยแดงมากเกินไป หรือการระคายเคืองที่ยาวนานหลังจากใช้สูตรบำรุง แสดงว่าผิวของคุณยังไม่พร้อม หรือการลอกผิวที่ทำไปนั้นรุนแรงเกินไป
• การปรับสมดุล: หากคุณเลือกที่จะใช้การลอกผิวที่รุนแรง (อีกครั้ง ควรเริ่มจากความเข้มข้นต่ำและค่อยๆ เพิ่มขึ้น) ควรปล่อยให้ผิวของคุณมีเวลาฟื้นตัวก่อนที่จะใช้สารออกฤทธิ์ที่เข้มข้น เช่น วิตามินซีความเข้มข้นสูง หรือกรดอื่นๆ ควรเน้นการให้ความชุ่มชื้นและฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวในช่วงแรก

โดยสรุป แม้ว่ารายการส่วนผสมสำหรับสูตรบำรุงหลังลอกผิวของคุณจะดีสำหรับวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจไว้ แต่ความเป็นกรดของมันต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้หลังการผลัดเซลล์ผิว ควรให้ความสำคัญกับวิธีการที่อ่อนโยนและสังเกตสัญญาณของผิวเสมอเพื่อหลีกเลี่ยงปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์

อย่าลืมทำการทดสอบกับผิวบริเวณเล็กๆ (patch test) เสมอเมื่อลองสูตรหรือความเข้มข้นใหม่ๆ