อนุพันธ์วิตามินเอในเครื่องสำอางไทย: กฎระเบียบ ประสิทธิภาพ และการระคายเคือง
คำถาม
กฎระเบียบ ประสิทธิภาพ และความท้าทายในการพัฒนาสูตรเกี่ยวกับการใช้อนุพันธ์วิตามินเอรูปแบบต่างๆ (Retinaldehyde, Retinol, Retinyl Palmitate) ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางในประเทศไทยเป็นอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการนำเข้าและใช้รูปแบบที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น?
คำตอบ
จากที่คุณสอบถามเข้ามาเกี่ยวกับการนำเข้าวิตามินเอในรูปแบบอื่นๆ ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เช่น Retinaldehyde
จากการพูดคุยในกระทู้ มีข้อมูลสำคัญหลายประการเกี่ยวกับอนุพันธ์วิตามินเอในประเทศไทย:
- วิตามินเอมี 4 รูปแบบหลักที่เป็นที่ยอมรับ ได้แก่ Retinoic acid (เป็นยา ไม่อนุญาตให้ใช้ในเครื่องสำอาง), Retinal (หรือ Retinaldehyde), Retinol และ Retinyl Palmitate
- ปัจจุบัน อย. ไทยยังอนุญาตให้ใช้ Retinal, Retinol และ Retinyl Palmitate ในเครื่องสำอางได้ แต่มีข้อจำกัดเรื่องความเข้มข้น (เช่น Retinyl Palmitate ไม่เกิน 1.00%) และห้ามเคลมสรรพคุณที่เฉพาะเจาะจง เช่น รักษาสิวหรือริ้วรอย
- มีความเป็นไปได้ที่ Retinal และ Retinol อาจถูกจัดเป็นยาในอนาคต
- ปัญหาหลักของวิตามินเอรูปแบบที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เช่น Retinol และ Retinal คือการระคายเคืองผิวและการลอก แม้จะใช้ Retinol ที่ความเข้มข้นสูงสุดที่อนุญาตในเครื่องสำอางได้ ก็ยังมีประสิทธิภาพต่ำกว่า Retinoic acid (ยา) ที่ความเข้มข้นต่ำๆ มาก
- เนื่องจากมีโอกาสสูงที่จะเกิดการระคายเคืองและปัญหาผิวลอก ทำให้ผู้บริโภคไม่พอใจ ผู้ผลิตเครื่องสำอางจำนวนมากจึงเลือกที่จะไม่ใส่ส่วนผสมเหล่านี้ หรือใส่ในปริมาณที่น้อยมาก แม้ว่าจะมีประโยชน์ต่อผิวก็ตาม
ด้วยข้อจำกัดด้านกฎระเบียบ (ข้อจำกัดความเข้มข้น, โอกาสที่จะถูกจัดเป็นยา) และปัญหาในทางปฏิบัติเกี่ยวกับการระคายเคืองผิว การนำเข้าและใช้ Retinaldehyde หรือ Retinol ที่ความเข้มข้นสูงขึ้นในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางในประเทศไทยจึงมีความท้าทายอย่างมาก
ทางทีมงานได้รับทราบข้อเสนอแนะของคุณแล้ว และจะนำไปศึกษาความเป็นไปได้ต่อไป อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องรับทราบถึงข้อจำกัดด้านกฎหมายในปัจจุบัน และความยากลำบากทางเทคนิคในการพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ที่มีความเสถียรและไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง โดยใช้ส่วนผสมเหล่านี้ในความเข้มข้นที่กฎหมายเครื่องสำอางอนุญาต.