แก้ไขปัญหาคราบขาวและความไม่เสถียรของวิตามินซีในเจลเซรั่ม
คำถาม
ผมกำลังทำเจลเซรั่ม (ผสมครั้งละ 30g) โดยใช้ส่วนผสมดังนี้:
- วิตามินซี (L-Ascorbic Acid) 15%
- วิตามินบี3 (Niacinamide) 4%
- Tea Tree Oil 3%
- AcneBee 3%
- Pro Polymer 1%
- น้ำ (ส่วนที่เหลือ)
ผมพบปัญหา 2 อย่างครับ:
- คราบขาว/เป็นขุย: มีคราบขาวเล็กน้อยเกิดขึ้นบนผิวหลังทา
- สีเหลือง: เจลเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อนๆ อย่างรวดเร็ว แม้จะผสมทีละน้อยและใช้หมดภายในหนึ่งสัปดาห์
ผมสงสัยว่าปัญหาคราบขาวเกิดจากการใส่วิตามินบี3 มากเกินไปเนื่องจากเครื่องชั่งรวน อยากสอบถามว่าสาเหตุของทั้งสองปัญหาเป็นไปตามที่ผมเข้าใจหรือไม่ และมีคำแนะนำในการปรับปรุงสูตรอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะเรื่องความไม่เสถียรของวิตามินซีและปัญหาคราบขาวที่อาจเกิดขึ้นได้อีกครับ
คำตอบ
สวัสดีครับ จากสูตรเจลที่แจ้งมา พร้อมปัญหาคราบขาวที่เกิดขึ้นและข้อความสนทนาที่ให้มา ผมขอให้คำแนะนำดังนี้ครับ
ปัญหาคราบขาว:
ที่คุณ stone.fire สรุปว่าน่าจะเกิดจากการใส่ Vitamin B3 (Niacinamide) มากเกินไปเนื่องจากเครื่องชั่งรวนนั้น มีความเป็นไปได้สูงครับ Niacinamide ที่ความเข้มข้นสูงเกินไป หรือหากละลายไม่หมดหรือไม่เข้ากันกับส่วนผสมอื่นๆ ในสูตร อาจทำให้เกิดคราบขาวหรือเป็นขุย (pilling) บนผิวได้เมื่อเจลแห้ง
ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติมเกี่ยวกับสูตร:
นอกจากปัญหาคราบขาวแล้ว อีกจุดสำคัญที่ควรพิจารณาตามที่คุณ cosmeceutical7 ได้กล่าวถึงคือ ความเสถียรของ Vitamin C (L-Ascorbic Acid หรือ LAA) ที่ความเข้มข้น 15% ในสูตรนี้ครับ
- ความไม่เสถียรของ LAA: L-Ascorbic Acid เป็นวิตามินซีรูปแบบที่ออกฤทธิ์ได้ดี แต่ไม่เสถียรอย่างยิ่งในสูตรที่เป็นน้ำ โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสกับอากาศ แสง และความร้อน การที่เจลมีสีเหลืองอ่อนๆ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้จะผสมเพียงเล็กน้อยและใช้ภายในหนึ่งสัปดาห์ ก็เป็นสัญญาณชัดเจนว่า LAA เริ่มเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันและเสื่อมสภาพแล้ว ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพลดลง
- การรวม LAA และ Niacinamide: แม้ว่าปัจจุบันความกังวลเรื่องการเกิด Niacin (ซึ่งอาจทำให้ผิวแดง คัน) จากการผสม LAA กับ Niacinamide จะลดลงไปมาก แต่การรวมสารสองตัวนี้ในสูตรเดียวกันยังคงต้องพิจารณาเรื่องค่า pH ที่เหมาะสม LAA จะเสถียรที่สุดที่ pH ต่ำมากๆ (ประมาณ 2.5-3.5) ในขณะที่ Niacinamide จะเสถียรที่ pH ประมาณ 5-7 การพยายามทำให้ทั้งสองตัวเสถียรในสูตรเดียวกันจึงเป็นความท้าทาย และค่า pH ที่ต่ำมากๆ เพื่อรักษา LAA อาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิวได้
คำแนะนำเพื่อปรับปรุงสูตร:
- แก้ไขปัญหาคราบขาว: ตรวจสอบปริมาณ Niacinamide ที่ใช้ให้ถูกต้องตามสูตร (4%) และตรวจสอบให้แน่ใจว่า Niacinamide ละลายในน้ำจนใสดีแล้วก่อนผสมส่วนอื่นๆ หากยังพบปัญหา อาจต้องพิจารณาปริมาณรวมของสารที่ละลายในน้ำทั้งหมด หรือความเข้ากันได้กับสารสร้างเนื้อเจล (Pro Polymer)
- เพิ่มความเสถียรของ Vitamin C:
- ปรับค่า pH: หากต้องการใช้ L-Ascorbic Acid ต่อไป อาจต้องปรับค่า pH ของสูตรให้ต่ำลงมากๆ เพื่อเพิ่มความเสถียรของ LAA แต่ต้องระวังเรื่องการระคายเคืองผิว และอาจต้องแยกผสมกับ Niacinamide หรือใช้ในสูตรที่ไม่มี Niacinamide
- ใช้อนุพันธ์วิตามินซีที่เสถียรกว่า: พิจารณาเปลี่ยนไปใช้อนุพันธ์ของวิตามินซีที่มีความเสถียรในน้ำมากกว่า LAA เช่น Sodium Ascorbyl Phosphate (SAP), Magnesium Ascorbyl Phosphate (MAP), Ascorbyl Glucoside เป็นต้น ซึ่งสามารถใช้ในสูตรที่มีค่า pH สูงกว่าได้และเข้ากันได้ดีกับ Niacinamide
- เปลี่ยนรูปแบบสูตร: หากต้องการใช้ LAA ที่ความเข้มข้นสูง อาจต้องพิจารณาทำในรูปแบบที่ไม่มีน้ำ (anhydrous base) เช่น ซิลิโคนเบส หรือน้ำมัน เพื่อรักษาความเสถียรของ LAA
- ความเข้ากันได้โดยรวม: สูตรนี้มีสารออกฤทธิ์หลายตัวในความเข้มข้นค่อนข้างสูง (Vitamin C 15%, B3 4%, Tea Tree Oil 3%, AcneBee 3%) การรวมสารเหล่านี้เข้ากับสารสร้างเนื้อเจล (Pro Polymer 1%) อาจต้องมีการปรับสมดุลของสูตรเพื่อให้เนื้อเจลมีความคงตัว ไม่แยกชั้น และไม่ทิ้งคราบหรือเป็นขุยบนผิว
โดยสรุป ปัญหาคราบขาวน่าจะมาจาก Niacinamide ที่ใส่เกินปริมาณ แต่ปัญหาสำคัญกว่าในระยะยาวของสูตรนี้คือความไม่เสถียรของ L-Ascorbic Acid 15% ครับ การปรับปรุงสูตรโดยเน้นที่การเพิ่มความเสถียรของวิตามินซี หรือการเลือกใช้อนุพันธ์วิตามินซีที่เสถียร จะช่วยให้สูตรมีประสิทธิภาพและอายุการใช้งานที่ดีขึ้นครับ
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Safe-B3™ (Vitamin B3, Niacinamide)

Vitamin C (L-ascorbic acid) (Fine)

Tea Tree Oil (Water Soluble)
